"…เปรียบเทียบกับการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง โดยที่ข้อเท็จจริงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แล้วผู้อุทธรณ์จะอุทธรณ์ด้วยเหตุผลอะไร ถ้าศาลให้อุทธรณ์ได้ ศาลก็ต้องเสียเวลาในการพิจารณา เสียทั้งเวลา เสียทั้งงบประมาณ แทนที่ศาลจะได้ไปพิจารณาคดีอื่น กลับต้องมาเสียเวลากับคดีเดิม แต่เหตุการณ์นี้ ปกติในทางศาลจะไม่เกิดขึ้น เพราะมีกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการอุทธรณ์ไว้ชัดเจน…"
การเสนอชื่อบุคคลซึ่งไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีอีกวาระหนึ่งนั้นสามารถกระทำได้ตามนัยของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเหตุสองประการ ดังนี้
ประการที่หนึ่ง บุคคลที่จะได้แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา หรือสภาผู้แทนราษฎรตามแต่กรณี โดยเป็นการเสนอชื่อของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งเป็นบทบัญญัติเฉพาะของรัฐธรรมนูญ อันแตกต่างจากการเสนอญัตติโดยทั่วไป จึงไม่สามารถนำข้อบังคับการประชุมสภาในเรื่องการเสนอญัตติมาใช้กับกรณีการเสนอชื่อเพื่อให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีได้
ประการที่สอง ในระบบรัฐสภา นายกรัฐมนตรีจะต้องได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎรหรือรัฐสภาตามแต่กรณี ดังนั้นหากมีการเสนอชื่อบุคคลเพื่อขอความเห็นชอบให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี สภาจึงมีหน้าที่ต้องพิจารณาการเสนอชื่อดังกล่าว และไม่มีบทบัญญัติใดของรัฐธรรมนูญที่กำหนดห้ามเสนอชื่อบุคคลที่ไม่ได้รับความเห็นชอบ ให้ได้รับการเห็นชอบอีกวาระหนึ่ง
แต่ในการพิจารณา สภาจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบก็ย่อมได้ ทั้งนี้ ในการเสนอชื่อนั้นจะต้องไม่ใช่การเสนอชื่อในระหว่างที่ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรียังไม่สิ้นสุดลง (มาตรา 170)
อย่างไรก็ตาม การเสนอชื่อบุคคลเดิมให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีถึงแม้จะกระทำได้ เนื่องจากไม่ได้มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญห้ามไว้ก็ตาม แต่ควรอยู่ในพื้นฐาน คือ บุคคลนั้นสามารถรวบรวมเสียงในสภาได้มากพอที่จะได้รับความเห็นชอบจากสภา จึงได้มีการเสนอชื่อบุคคลเดิมอีกครั้ง
แต่ไม่ใช่การเสนอชื่อบุคคลเดิมซ้ำทั้งที่ไม่สามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนในสภาได้ ซึ่งการกระทำดังกล่าว อาจจะเป็นการบิดเบือนการใช้สิทธิแบบหนึ่ง
เปรียบเทียบกับการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง โดยที่ข้อเท็จจริงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แล้วผู้อุทธรณ์จะอุทธรณ์ด้วยเหตุผลอะไร ถ้าศาลให้อุทธรณ์ได้ ศาลก็ต้องเสียเวลาในการพิจารณา เสียทั้งเวลา เสียทั้งงบประมาณ แทนที่ศาลจะได้ไปพิจารณาคดีอื่น กลับต้องมาเสียเวลากับคดีเดิม แต่เหตุการณ์นี้ ปกติในทางศาลจะไม่เกิดขึ้น เพราะมีกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการอุทธรณ์ไว้ชัดเจน
กลับมาในเรื่องการเสนอชื่อผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี การที่รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติเงื่อนไขหรือหลักเกณฑ์ในเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน ก็เพราะในทางการเมือง ผู้ถูกเสนอชื่อที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภา ต่อมาภายหลังอาจจะได้รับความเห็นชอบจากสภาก็ได้ หากสามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนได้มากพอ จึงไม่ควรถูกปิดกั้นในการเสมอชื่อใหม่
หากแต่ถ้าเป็นกรณีที่มีนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว ก็ต้องยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายนายกรัฐมนตรีก่อน ซึ่งแน่นอน ถ้าเสียงสนับสนุนมากพอ นายกรัฐมนตรีไม่ได้รับความไว้วางใจ พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 170 บุคคลนั้นก็อาจถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 158 ประกอบมาตรา 159 และเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากนายกรัฐมนตรีคนเดิมที่ไม่ได้รับความไว้วางใจได้
ดังนั้น ในกรณีปัจจุบัน ในการบริหารราชการแผ่นดินมีแต่นายกรัฐมนตรีรักษาการ ทำหน้าที่ไปพลางก่อน การเสนอชื่อจึงบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจึงสามารถกระทำได้ จนกว่าจะได้นายกรัฐมนตรี (ตัวจริง) ส่วนจะเสนอชื่อบุคคลเดิมที่เคยไม่ได้รับความเห็นชอบได้หรือไม่ ก็ได้แสดงความคิดเห็นไปก่อนหน้านี้แล้ว
ประวัติ...ดร. ศาสดา วิริยานุพงศ์
ประวัติการศึกษา
- นิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรุงเทพมหานคร
- ประกาศนียบัตรภาษาและวัฒนธรรมฝรั่งเศส มหาวิทยาลัยซอร์บอร์น - ปารีส 4(SORBONNE) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
- ปริญญาชั้นสูง (กฎหมายรัฐธรรมนูญ) มหาวิทยาลัยนิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ แห่งปารีส - ปารีส 2 (PANTHÉON-ASSAS) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
- ปริญญาเอกทางกฎหมาย (กฎหมายรัฐธรรมนูญ) เกียรตินิยมดีมากด้วยความชื่นชมเป็นเอกฉันท์ของคณะกรรมการสอบ (avec les félicitations du jury à l’unanimité)มหาวิทยาลัยนิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ แห่งปารีส -ปารีส2(PANTHÉON-ASSAS) กรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส
สาขาวิชาการที่มีความชํานาญพิเศษ -กฎหมายระหวางประเทศ -กฎหมายมนุษยธรรมระหวางประเทศ -กฎหมายสหภาพยุโรป -กฎหมายปกครอง -กฎหมายปกครองท้องถิ่น -กฎหมายว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน -กฎหมายกับนโยบายและการวางแผนสังคม