ในสงครามเวียดนามนั้นผู้ปกป้องมาตุภูมิ เป็นผู้ชนะ เพราะในสังคมประชาธิปไตยอย่างอเมริกา สื่อมวลชนมีอิสระเสรีในการรายงานข่าวที่เป็นจริง เปิดโปงความผิดพลาดของนโยบายรัฐบาล เปิดโปงความโหดร้ายของสงคราม เปิดโปงความจริงของสนามรบ สื่อสารให้สาธารณะชนทั่วโลกเห็นว่าใครคือหมาป่าที่แท้จริง มติมหาชนในอเมริกาและทั่วโลกทำให้ กองทัพที่เกรียงไกรต้องแพ้ให้กับ aspiration ของผู้ปกป้องมาตุภูมิ สำหรับกรณียูเครน อาจจะยากกว่า
วันนี้เขียนจดหมายน้อยถึงเพื่อน 5 ย. บางคนยุคเบบี้มูมวงเล็กๆ สมัยที่พวกเราเคยนั่งปั่นโรเนียวใต้ตึกริมแม่น้ำแล้วแจกแถลงการณ์ต่อต้านสงครามเวียดนามให้เพื่อนๆ ในโรงอาหารและคอมมอนรูม มาตอนนี้รู้สึกว่าเพื่อน 5 ย. บางคนเปลี่ยนไปมากโดยหันมาสนับสนุนสงครามและชื่นชมเผด็จการ ทั้งนี้คงเพราะโดนปูพรมด้วยข้อมูล IO จริงบ้างลวงบ้างกระจายหลายช่องทาง ตัวอย่างเช่นข้อกล่าวอ้างถึง รมต. เจมส์ เบเกอร์เรื่องการ(ไม่)เพิ่มสมาชิกใหม่ของนาโต้ เมื่อตรวจเช็คแล้วก็ไม่พบว่ามีการลงนามข้อตกลงดังกล่าว
รวมทั้งการสร้างสตอรี่เปรียบเทียบความสัมพันธ์ในครอบครัวแบบตื้นเขินให้ดูเข้าใจง่ายแต่พื้นฐานข้อมูลผิดเพี้ยน แล้วก็มีการรีไซเคิลข้อมูลเก่าที่เคยถูกหักล้างแล้วเอามาทาสีใหม่ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการบุกรุกประเทศเอกราชมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างยูเครน ครั้นเมื่อลองไล่ fact-check ดูแล้วก็พบว่าต้นตอมาจากอุตสาหกรรม IO ของรัสเซีย แล้วมีการแปลเป็นไทยใส่สีสันให้อ่านดูมีบรรยากาศแบบไทยๆ ได้อย่างประหลาด แล้วยังมีพฤติกรรมอันมิบังควรพยายามดึงฟ้าลงต่ำ โยงสถาบันฯมามัวหมองกับความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยที่ฝ่ายความมั่นคงที่มีหน้าที่ปกป้องความศักดิ์สิทธิของสถาบันฯ มิได้ตักเตือนแต่อย่างได
ไม่ใช่เรื่องประหลาดใจที่มีนักข่าวรัสเซียมืออาชีพคนหนึ่งที่ไม่ทนกับ massive disinformation campaign ในสื่อรัฐบาลของตัวเองยอมเสี่ยงชีวิตออกรายการสดทางทีวีชูป้ายประท้วงการรุกราน และการโกหกมดเท็จของสื่อที่ให้ข้อมูลด้านเดียวทุกวี่ทุกวัน คนไทยเรายังโชคดีที่มีสื่อหลากหลาย ใครอยากเชื่อข้อมูลฝ่ายใดก็ได้ตามอัธยาศัย
น่าสังเกตุว่าข้อความส่วนใหญ่ที่ทำให้พวกเรา ที่เคยต้านสงครามด้วยกันมีอาการเพื้ยนไป คือการสร้างภาพให้เกิดความสงสารว่ารัสเซียเป็นเหยื่อของผู้รุกราน เหมือนเป็นลูกแกะถูกหมาป่าจากตะวันตกคุกคาม แต่ทว่าข้อความ IO ที่ทะลักออกมากลับละเว้นที่จะไม่พูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่ารัสเซียเองนั่นแหละเป็นหมาป่ามหาอำนาจมีกองทัพขนาดใหญ่กว่าใครในยุโรป และสะสมหัวรบนิวเคลียร์มากกว่าใครในโลก แล้วหันหัวรบจ่อคอยหอยประเทศเล็กๆ ที่เคยเป็นอดีตอาณานิคม เคยถูกกดขี่สมัยสตาลิน เคยอดอยากล้มตายกันเป็นล้านๆ มิหนำช้ำยังพยายามเลาะเล็มผนวกดินแดนเป็นของตน
ดังนั้นพอได้เอกราช ก็ไม่แปลกที่ชาวยุโรป ตอ. จะแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า พวกเขาเพียงอยากจะมีเสรีภาพกำหนดชีวิตอนาคตของตนเอง จะไม่ยอมให้ ‘ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง ก็จะบังคับขับไส’ อีกต่อไป แต่ก็โดน IO รัสเซียป้ายสีว่าโดนหมาป่าอีกตัวหนึ่งหลอกให้หลงผิด แล้วใช้ยุทธศาสตร์ victim blaming ซ้าเติมชาวยูเครนที่ปกป้องบ้านเกิด จับอาวุธสู้ผู้รุกราน
เป็นเรื่องน่าประหลาดที่ว่า ปูติน เรียกร้องว่าตนเองมีสิทธิที่จะปกป้องความมั่นคงของตนเอง แต่ไม่เคยรับรองความมั่นคงของประเทศอดีตอาณานิคมที่ได้เอกราช ถ้ามีโอกาสก็จะหาเรื่องผนวกดินแดนกลับมาเป็นของรัสเซีย อ้างประวัติศาสตร์แต่โบราณอย่างเช่นกรณีไครเมีย ดอนเนสต์ แต่เป้าหมายที่แท้จริงคืออยากเป็นเจ้าเข้าครองยูเครน นั่นเองเพราะแหล่งน้ำมันและแก็ส เหมือนเจ้าอาณานิคมอังกฤษ-ฝรั่งเศสมาและเล็มดินแดนของราชอาณาจักรสยามในยุคนหนึ่ง ทั้งนี้เพราะปูติน อยากกลับไปหาความยิ่งใหญ่แต่เดิมของอาณาจักรโซเวียต ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นพันตรีของ KGB ในเยอรมัน ตอ. แล้วเห็น
กำแพงเบอร์ลินล้มลง ปูตินเองกล่าวว่าเป็นหายนะครั้งสำคัญของจักรวรรดิ์โซเวียต แล้วโทษกอบาชอฟ ว่าเป็นต้นเหตุ ความจริงแล้วปูตินมีหัวรบปรมานูมากกว่าสหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส รวมกันเสียอีก จะเห็นได้ว่าพอปูตินสั่งเตรียมพร้อมกำลังรบทางนิวเคลียร์ เมื่อตอนเริ่มบุกยูเครน ทั้งไปเด้น บอรีส กับมาครง ก็ฝ่อไปทันที ไม่กล้าแลกหมัดด้วย ไม่กล้าแม้กระทั่งปิดน่านฟ้าให้ยูเครน เพราะกระสุนน้อยกว่า จึงต้องหันไปเล่นวิธีการแซงค์ชั่นทางเศรษฐกิจ ซึ่งตัวเองก็ต้องยอมเจ็บปวดไปด้วยเพราะข้าวของจะแพง ดังนั้นที่รัสเซียบอกว่าถูกคุกคามนั้น น่าจะเป็นเรื่องตรงข้ามกับความเป็นจริง
น่าสังเกตุว่ารัสเซียก็ใช้วิธีเหมือนหมาป่าอีกตัวหนึ่งนั่นแหละที่เคยรุกรานอีรัก เช่นป้ายสีว่าลูกแกะข้างบ้านสะสมคลังอาวุธร้ายแรงต้องเข้าไปปลดอาวุธ แต่รัสเซียไม่เคยนำหลักฐานมาแสดงต่อที่ประชุมของ UN ให้นานาชาติร่วมกันค้นหาข้อเท็จ จริง แต่กลับสั่งทหารบุกรุกทันทีแบบไม่ประกาศสงครามตามธรรมเนียม จนมีมติ UN ประนามว่าผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ยุทธวิธีแบบนี้ก็ไม่ต่างกับ ข้อกล่าวอ้างที่ว่า มีอุโมงค์ลับในธรรมศาสตร์ แล้วส่งกำลังเข้าไปกวาดล้าง
นอกจากนี้ปูตินยังมีข้อกล่าวอ้างว่าต้องการเข้าไปกวาดล้างพวกนีโอนาซี ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วพวกนีโอนาซีมีแฝงตัวอยู่ในแทบทุกประเทศของยุโรป ในยูเครนก็เป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ในรัสเซียเองมีจำนวนมากกว่ายูเครนด้วยซ้ำไป เนื่องจากปูตินเลี้ยงไว้เพื่อปราบปรามฝ่ายค้าน และพวก LGBT ที่เรียกร้องความเท่าเทียมในรัสเซีย
ประเทศยุโรป ตอ. ที่เคยถูกยึดครองอย่างทารุนโดยเผด็จการโซเวียต เมื่อได้เอกราชแล้วก็โหยหาเสรีภาพ ประชาธิปไตย อยากมั่งคั่งแบบอียู ก็เลยกลายเป็นภัยคุกคามประเทศยักษ์ใหญ่เพื่อนบ้านที่ปกครองด้วยเผด็จการ เพราะประเทศที่เป็นประชาธิปไตยเขาเลือกผู้นำเปลี่ยนหน้ากันมาได้อย่างเสรีตามวาระ ไม่เหมือนเผด็จการปูติน ที่ปกครองรัสเซียด้วยอำนาจเด็ดขาดมายาวนานกว่า 22 ปี มือเปื้อนเลือดปราบปรามฝ่ายค้านอย่างทารุน แล้วควบคุมสื่อในประเทศให้เสนอข่าวโกหกหลอกลวงประชาชนของตนเอง และชาวโลกมาตลอด และยิ่งเข้มข้นมากขึ้นในช่วงการรูกรานยูเครน ปูตินออกกฎหมายควบคุมสื่อเบ็ดเสร็จ
ปูตินไม่อยากให้ชาวรัสเซียเกิดภาพเปรียบเทียบอยากมีประชาธิปไตยเปลี่ยนตัวผู้นำได้เหมือนอย่างประเทศเพื่อนบ้าน ที่ได้เสรีภาพได้ประชาธิปไตยหลังกำแพงเบอร์ลินล้มลงแล้วพัฒนาเศรษฐกิจมั่งคั่งขึ้นมา มีฐานะความเป็นอยู่ มีคุณภาพชีวิตดีกว่าชาวรากหญ้ารัสเซีย พวกเขายังคงมีชีวิตที่ลำบากเพราะระบบผูกขาดระบบเศรษฐกิจ โดยกลุ่มโอลีกาก ที่ปูตินให้สัมประทานแก้สและน้ำมันแลกเปลี่ยนกับการสนับสนุนระบอบเผด็จการของเขา กลุ่มโอลีกากเหล่านี้ก็เฝ้ารอคอยเข้าไปผูกขาดสัมปะทานแหล่งแร่ในยูเครน ถ้าปูตินยึดครองได้สำเร็จ
คนรุ่นเบบี้บูมอย่างพวกเราน่าจะยังคงจำเหตุการณ์ที่รัสเซียส่งรถถังและกองกำลังรถถังบุกเข้าปราบผู้ประท้วงต่อต้านอำนาจเจ้าอาณานิคมโซเวียต ที่บูดาเปสต์และปร้าก (Prague Spring) ในยุคต้นทศวรรษ 1960 ได้เป็นอย่างดี ประวัติศาสตร์ส่วนนี้กำลังซ้ำรอยในยูเครน เพราะเราเห็นรถถังหลายร้อยคันมุ่งหน้าไปปิดล้อมแล้วระดมยิงเมืองคีฟ ข้อมูลอีกด้านส่วนนี้ IO ของรัสเซียไม่เคยกล่าวถึง
พฤติกรรมของปูตินตลอดเวลาที่กุมอำนาจมากว่ายี่สิบปี แสดงให้เห็นความเป็นเผด็จการเกลียดกลัวประชาธิปไตย
พยายามจะเปลี่ยนรัฐธรรมนูญให้ตนเองเป็นประธานาธิปดีตลอดชีวิต เขาจึงเรียกร้องให้กองทัพยูเครนทำรัฐประหารรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่เมื่อไม่สำเร็จเขาก็ส่งกำลังทหารเข้าไปรุกราน ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาที่ซ้อมรบริมชายแดนยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ก็หลอกลวงชาวโลกตลอดว่าไม่มีแผนที่จะบุกรุก รับปากว่าจะประชุมสุดยอดกับไบเด็นให้ความหวังกลวงๆ ว่าจะต่อรองกันได้ แล้วเบี้ยววินาทีสุดท้าย หลอกให้ยูเครนตายใจจะได้เข้ายึดครองอย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นเทคนิคแบบเดียวกับเผด็จการ มิง อ่อง หล่าย ที่แพ้เลือกตั้ง แต่ไม่ยอมลงจากอำนาจ เริ่มต้นก็หลอกชาวเมียนมาร์มาว่าจะไม่มีการทำรัฐประหารให้ตายใจไม่เตรียมตัวตั้งรับ เผลอไปไม่กี่วันก็ใช้กำลังยึดอำนาจ เผด็จการก็จะมีพฤติกรรมอันธพาลแบบนี้
การที่พลเรือนยูเครนจำนวนมากจับอาวุธสนับสนุนกองทัพสู้กับแสนยานุภาพของรัสเซียอย่างกล้าหาญเพื่อปกป้องเอกราชและมาตุภูมิของตนเอง ว่ากันไปแล้วก็ไม่ต่างกับชาวเวียดนามที่ลุกขึ้นมาสู้กับแสนยานุภาพของอเมริกัน เพราะ aspiration ของการต่อสู้เพื่อปกป้องมาตุภูมินั้นมันต่างกับการต่อสู้ของผู้รุกราน ไม่น่าแปลกที่กองทัพอันเกรียงไกรของรัสเซียก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ง่ายดายตามที่ปูติน คิดคำนวนไว้ ต้องอาศัยกองกำลังทหารรับจ้างชีเรียเข้ามาช่วย
เมื่อแผนการรุกรานยูเครนไม่ง่ายเกิดความล่าช้า ปูติน ก็ใช้ตำราเดียวกันแบบอเมริกันในเวียดนามคือ ใช้อาวุธหนักถล่มให้หนักมือยิ่งขึ้น ไม่เลือกเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน หรือ โรงพยาบาล ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยประกาศว่าทหารรัสเซียมืออาชีพ จะทำลายเป้าหมายทางทหารเท่านั้น แต่ภาพข่าวที่ออกมาก็เห็นแล้วว่า รัสเซียไม่ได้ปฏิบัติตามกฎแห่งสงคราม แต่ใช้วิธีโหด ก่ออาชญากรรมสงคราม เพื่อทำลายขวัญคู่ต่อสู้ เมื่อมีหลักฐานบานออกมา ปูติน ก็ยอมรับว่าใช้ทหารเกณฑ์ไปรบในยูเครน
การลุกขึ้นสู้ของชาวยูเครน ตั้งแต่ตัวประธานาธิปดี นายกเทศนมนตรีไปจนถึงชาวบ้านที่ไม่เคยจับอาวุธมาก่อน ทั้ง แม่บ้าน คนหนุ่มสาว นักศึกษา คนแก่เกษียณอายุ เจ้าของกิจการร้านค้า คนขับรถประจำทาง อาสาสมัครเข้าร่วมกับกองทัพ ต่อต้านแสนยานุภาพของกองทัพที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรป ทำให้การยึดเมืองหลวงล่าช้ากว่ากำหนด สะท้อนวีรกรรมของชาวเวียดนามที่ต่อสู้กับอเมริกันผู้รุกราน
ในสงครามเวียดนามนั้นผู้ปกป้องมาตุภูมิ เป็นผู้ชนะ เพราะในสังคมประชาธิปไตยอย่างอเมริกา สื่อมวลชนมีอิสระเสรีในการรายงานข่าวที่เป็นจริง เปิดโปงความผิดพลาดของนโยบายรัฐบาล เปิดโปงความโหดร้ายของสงคราม เปิดโปงความจริงของสนามรบ สื่อสารให้สาธารณะชนทั่วโลกเห็นว่าใครคือหมาป่าที่แท้จริง มติมหาชนในอเมริกาและทั่วโลกทำให้ กองทัพที่เกรียงไกรต้องแพ้ให้กับ aspiration ของผู้ปกป้องมาตุภูมิ
สำหรับกรณียูเครน อาจจะยากกว่า เพราะสังคมรัสเซียนั้นไม่ใช่สังคมที่มีเสรีภาพประชาธิปไตย เหมือนโลกตะวันตก สื่อมวลชนรัสเซียถูกควบคุมให้โกหกหลอกลวงประชาชนทั้งในประเทศของตนและในต่างประเทศ แต่สำหรับผู้ปกป้องมาตุภูมินั้น เขาไม่มีทางเลือก เพราะเขาไม่อยากให้ยูเครน กลับไปเป็นเมืองขึ้นของเผด็จการฟาสซิสต์ แบบสตาลิน ที่บรรพบุรุษของพวกเขาต้องระทมทุกข์หลังสงครามโลกอยู่หลายสิบปี พวกคงต้องต่อสู้ยิบตา เพราะความจริงแล้วปูติน ไม่ได้ทำสงครามกับยูเครน แต่ปูตินทำสงครามกับ เสรีภาพและกระแสประชาธิปไตยยุโรป European Democratic Aspiration ที่คุกคามอำนาจเบ็ดเสร็จของเขา
......end…