เป้าหมายการพัฒนาทั้ง 17 ข้อ สะท้อน ‘3 เสาหลักของมิติความยั่งยืน’ (Three Pillars of Sustainability) คือ มิติด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม บวกกับอีก 2 มิติ คือ มิติด้านสันติภาพและสถาบัน และมิติด้านหุ้นส่วนการพัฒนา ที่เชื่อมร้อยทุกมิติของความยั่งยืนไว้ด้วยกัน รวมเป็น 5 มิติ องค์การสหประชาชาติแบ่งเป้าหมาย 17 ข้อ
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ ป่า อากาศ ภาวะโลกร้อน พลังงานทดแทน ความเหลื่อมล้ำ ความยากจน การศึกษา สุขภาวะ และความเป็นอยู่ ของประชาชน การตลาด เทคโนโลยี ทุกคำถามที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตสามารถ ค้นหาคำตอบได้ในโครงการในพระราชดำริที่ทรงทำไว้ตลอด 70 ปีแห่งรัชกาล มีจำนวนถึง 4800 โครงการทั่วประเทศ และเป็นแรงบันดาลใจในการประกาศเป้าหมายการพัฒนาอย่างยังยืน 17 ข้อขององค์การสหประชาชาติหรือที่รู้จักกันดีว่า UN SDG 2030
เป้าหมายทั้ง 17 เป้าหมายประกอบด้วย
* เป้าหมายที่ 1 : ขจัดความยากจนทกุรูปแบบในทุกพื้นที่
* เป้าหมายที่ 2 : ยุติความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหารและยกระดับโภชนาการและส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน
* เป้าหมายที่ 3 : สร้างหลักประกันว่าคนมีชีวิตที่มีสุขภาพดีและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกวัย
* เป้าหมายที่ 4 : สร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต
* เป้าหมายที่ 5 : บรรลุความเท่าเทียมระหว่างเพศ และเสริมอำนาจให้แก่สตรีและเด็กหญิง
* เป้าหมายที่ 6 : สร้างหลักประกันว่าจะมีการจัดให้มีน้ำและสุขอนามัยสำหรับทุกคนและมีการบริหารจัดการที่ยั่งยืนคน
* เป้าหมายที่ 7 : สร้างหลักประกันให้ทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานสมัยใหม่ที่ยั่งยืนในราคาที่ย่อมเยา
* เป้าหมายที่ 8 : ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน การจ้างงานเต็มที่ มีผลิตภาพ และการมีงานที่เหมาะสมสำหรับทุกคน
* เป้าหมายที่ 9 : สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีความทนทาน ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมและยั่งยืน และส่งเสริมนวัตกรรม
* เป้าหมายที่ 10 : ลดความไม่เสมอภาคภายในประเทศและระหว่างประเทศ
* เป้าหมายที่ 11 : ทำให้เมืองและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มีความครอบคลุม ปลอดภัย มีภูมิต้านทานและยั่งยืน
* เป้าหมายที่ 12 : สร้างหลักประกันให้มีรูปแบบการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
* เป้าหมายที่ 13 : ปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่เกิดขึ้น
* เป้าหมายที่ 14 : อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทะเล และทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
* เป้าหมายที่ 15 : ปกป้อง ฟื้นฟู และสนับสนุนการใช้ระบบนิเวศบนบกอย่างยั่งยืน จัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนต่อสู้การกลายสภาพเป็นทะเลทราย หยุดการเสื่อมโทรมของที่ดินและฟื้นสภาพดิน และหยุดยั้งการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
* เป้าหมายที่ 16 : ส่งเสริมสังคมที่สงบสุขและครอบคลุมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้ทุกคนเข้าถึงความยุติธรรม และสร้างสถาบันที่มีประสิทธิภาพ รับผิดชอบ และครอบคลุมในทุกระดับ
* เป้าหมายที่ 17 : เสริมความเข้มแข็งให้แก่กลไกการดำเนินงานและฟื้นฟูหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
เป้าหมายการพัฒนาทั้ง 17 ข้อ สะท้อน ‘3 เสาหลักของมิติความยั่งยืน’ (Three Pillars of Sustainability) คือ มิติด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม บวกกับอีก 2 มิติ คือ มิติด้านสันติภาพและสถาบัน และมิติด้านหุ้นส่วนการพัฒนา ที่เชื่อมร้อยทุกมิติของความยั่งยืนไว้ด้วยกัน รวมเป็น 5 มิติ องค์การสหประชาชาติแบ่งเป้าหมาย 17 ข้อ ออกเป็น 5 กลุ่ม (เรียกว่า 5 Ps) ประกอบด้วย
* People (มิติด้านสังคม): ครอบคลุมเป้าหมายที่ 1 ถึง เป้าหมายที่ 5
* Prosperity (มิติด้านเศรษฐกิจ): ครอบคลุมเป้าหมายที่ 7 ถึง เป้าหมายที่ 11
* Planet (มิติด้านสิ่งแวดล้อม): ครอบคลุมเป้าหมายที่ 6 เป้าหมายที่ 12 ถึง เป้าหมายที่ 15
* Peace (มิติด้านสันติภาพและสถาบัน): ครอบคลุมเป้าหมายที่ 16
* Partnership (มิติด้านหุ้นส่วนการพัฒนา): ครอบคลุมเป้าหมายที่ 17
ทั้งนี้ โครงการ ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา เป็นโครงการที่จัดขึ้นเพื่อชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โครงการในพระราชดำริทั้งหมด 4800 โครงการ ไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยังยืน 17 ข้อขององค์การสหประชาชาติ โดยครั้งล่าสุด จัดขึ้นที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดเพชรบุรี โดยบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และมูลนิธิธรรมดี ได้คัดเลือกครูอาจารย์จากทั่วประเทศมาร่วมกิจกรรม
โดยในครั้งนี้เป็นการรณรงค์สร้างจิตสำนึกการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ปรับวิถีชีวิตสู่สมดุลด้วยนวัตกรรมศาสตร์พระราชา
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาป่าไม้อเนกประสงค์ มุ่งหมายศึกษารูปแบบการพัฒนาเกษตรกรรมควบคู่ไปกับการปลูกป่า เพื่อฟื้นฟูสภาพธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พัฒนาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรและปลูกป่า จัดสรรที่ทำกินให้กับราษฎร ที่ได้เข้ามาบุกรุกทำกินอยู่แต่เดิมให้ได้เข้าอยู่อาศัย และให้ความรู้กับราษฎร ให้ทำการเกษตรอย่างถูกวิธี รวมทั้งให้มีส่วนร่วมในการปลูกป่า ดูแลรักษาป่า ตลอดจนให้ได้รับประโยชน์จากผลผลิตของป่า เพื่อที่ราษฎรจะได้ไม่บุกรุกทำลายป่าอีกต่อไป เป็นการดูแลทรัพยากรที่สำคัญ ทั้งคนและสิ่งแวดล้อม
ศูนย์นี้เคยประสบกับปัญหาพื้นที่ป่าไม้ถูกทำลาย ดินขาดการบำรุงรักษา ทำให้ธรรมชาติขาดความสมดุล เกิดความแห้งแล้ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล มีปริมาณฝนลดลง และเมื่อเวลามีฝนตกฝนจะตกหนัก เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการชะล้างพังทะลาย หน้าดินถูกกัดเซาะเป็นร่องลึก เนื่องจากไม่มีพืชคลุมดินเป็นสิ่งกีดขวางการไหลบ่าของน้ำ
“หญ้าแฝก” จึงเป็นพืชที่เหมาะสมในการนำมาปลูกเพื่อพัฒนาพื้นดินบริเวณนี้ เพื่อการใช้ประโยชน์ในด้านการอนุรักษ์ดินและน้ำ ชะลอและเก็บกักน้ำให้ดินชุ่มชื่น ตลอดจนการดูแลสิ่งแวดล้อมในด้านการช่วยบำบัดน้ำเสียได้อีกด้วย ซึ่งคณะครูอาจารย์ก็ได้ร่วมลงมือทำกิจกรรมปลูกหญ้าแฝก เพื่อเป็นการเรียนรู้และสร้างประสบการณ์การอนุรักษ์ธรรมชาติด้วยการลงมือปฏิบัติจริง
พ.ต.อ.พันศักดิ์ สมันตรัฐ ผอ.ศูนย์ฯ กล่าวว่า “นอกเหนือจากการดูแลรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้ว การดูแลประชาชนในพื้นที่ก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน ดังนั้น ความรู้ด้านการตลาดก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชาวบ้าน” ซึ่งได้ยกตัวอย่างการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ที่ชาวบ้านเพาะปลูก อาทิ การแปรรูปน้ำอ้อย จากเดิมที่การขายเป็นลำอ้อย ให้ปรับมาขายเป็นแก้ว ที่ได้ราคามากกว่า หรือการเพาะปลูกอย่างไร เพื่อให้ได้ผลผลิตเก็บเกี่ยวออกมาขายได้ทุกวัน อย่างเช่นการปลูกผักบุ้งที่มีการวางแผนการปลูกอย่างเป็นระบบ เป็นต้น
“หลักการที่สำคัญในการบริหารจัดการและการดูแลชาวบ้านเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและอยู่อย่างมีความสุข คือการร้อยเรียงเรื่อง การบูรณาการด้านวิชาการ โดยมีภูมิปัญญาท้องถิ่น และการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่” ให้สอดคล้องไปด้วยกัน ผอ.ศูนย์สรุป
การทำกิจกรรมที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย อันเนื่องมาจากพระราชดำรินี้ ดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด และประธานมูลนิธิธรรมดี ให้ความเห็นอย่างน่าสนใจว่า “ที่ศูนย์นี้ ถือเป็นห้องเรียนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยพื้นที่กว่า 20,000 ไร่ ที่เป็นพื้นที่ป่าธรรมชาติ ป่าชายหาด และป่าชายเลน เป็นสมบัติของโลกใบนี้ที่เราควรต้องช่วยกันดูแลรักษาฟื้นฟูอนุรักษ์ธรรมชาติ ทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ ช่วยให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดี การพยายามออกจากห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะช่วยให้เราได้เข้าถึงธรรมชาติและสามารถเรียนรู้จากธรรมชาติได้ทุกเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของการเกษตรเท่านั้น แต่ยังบูรณาการไปถึงเรื่องเศรษฐกิจ การตลาด เชื่อมโยงไปถึงอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงการท่องเที่ยว ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชนในท้องที่ ได้อีกด้วย”
คณะครูอาจารย์ และผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ยังได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมและทำกิจกรรม ณ ศูนย์เรียนรู้ทางการเกษตรเขากระปุก ซึ่งเป็นโครงการตามพระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยได้รับเกียรติจาก คุณหญิง ผกาพันธ์ เทหะมาศ ผู้อำนวยการวังไกลกังวล ร่วมบรรยายให้ข้อมูล ซึ่งศูนย์นี้เป็นศูนย์การเรียนรู้การทำเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี การปลูกผักปลอดสารพิษ ซึ่งกิจกรรมที่ทางคณะได้ลงมือทำ คือการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร (การทำหมี่กรอบฟักข้าว) การทำน้ำยาสมุนไพรเอนกประสงค์ และการทำปุ๋ยมูลไส้เดือน ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมเนื่องจากสามารถนำความรู้ไปเผยแพร่ และต่อยอดได้อีกเช่นกัน
นางวิชชุดา ไตรธรรม ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทิพยประกันภัยดูแลสังคมมาอย่างต่อเนื่อง จากโครงการ “ทิพยทำความดีไม่มีสิ้นสุด” โดยได้จัดกิจกรรมให้ครอบคลุมการช่วยเหลือสังคมทุกมิติ แต่อีกด้านที่เราไม่ควรละเลยนั่นคือ “สิ่งแวดล้อม” ที่เป็นทรัพยากรสำคัญของโลกใบนี้ การที่คณะครู อาจารย์ และผู้ที่สนใจได้มาร่วมทำกิจกรรมที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เพชรบุรี จะได้ประสบการณ์และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่องของการอนุรักษ์ผืนดิน ป่า และน้ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านทรงคิดไว้มานานแล้ว คนที่เห็นประโยชน์และเข้าถึงหลักคิดนี้ได้คือคนที่อยู่กับโลกอนาคต เราต้องช่วยกัน ลงมือกระทำ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะโลกร้อนและผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมรอบตัวเรา ถ้าทุกคนร่วมแรงร่วมใจพร้อมใจกันทำ จะทำให้ธรรมชาตินั้นค่อย ๆ ฟื้นฟูตัวเองและกลับมาเป็นธรรมชาติอันสมบูรณ์”
สำหรับกิจกรรมครั้งต่อไป ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา ครั้งที่ 16 จะจัดขึ้น ในวันที่ 19-20 มีนาคม 2565 ณ โครงการพัฒนาที่ดินมูลนิธิชัยพัฒนา บ้านเกาะคู อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก เรียนรู้ภูมิปัญญาชาวบ้าน รวมทั้งเดินทางไปยังเขาค้อเพชรบูรณ์ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
หน่วยงานหรือองค์กรที่สนใจร่วมเรียนรู้นวัตกรรมศาสตร์พระราชา สามารถติดต่อได้ที่มูลนิธิธรรมดี เว็บไซต์ http://www.do-d-foundation.com แฟนเพจ: ตามรอยพระราชา-The King's Journey Facebook: มูลนิธิธรรมดี และ LINE Official: @dfoundation