"...แต่ร่างกฎหมายการดำเนินงานองค์กรไม่แสวงหากำไร หรือ “ร่างกฎหมายควบคุมองค์กรประชาชน” มีจุดมุ่งหมายเพื่อขัดขวางและควบคุมการรวมตัวของประชาชนที่มีวัตถุประสงค์และการดำเนินงานเพื่อประโยชน์ของสังคมหรือประโยชน์สาธารณะ ซึ่งขัดกับเสรีภาพเสรีภาพในการรวมกลุ่ม เสรีภาพในการแสดงออก สิทธิส่วนบุคคล รวมทั้งสิทธิการมีส่วนร่วม อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้มีการรับรองและคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่ประเทศไทยเป็นภาคี โดยมีการใช้อำนาจรัฐควบคุมการรวมตัวและการดำเนินงานขององค์กรประชาชน ดังนี้..."
ทำไมต้องคัดค้านร่างกฎหมายการดำเนินงานองค์กรไม่แสวงหากำไร
ความเป็นมา
1.วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ “ร่างพรบ.การดำเนินงานขององค์กรไม่แสวงหารายได้ หรือกำไรมาแบ่งปันกัน” ที่สำนักงานกฤษฎีกาจัดทำขึ้นตามคำบัญชาของนายกรัฐมนตรี และให้รับร่างพรบ.การส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมไปประกอบการพิจารณาด้วย
2. วันที่ 29 มิถุนายน 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สำนักงานกฤษฎีการับหลักการในข้อกำหนดตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินการก่อการร้ายที่ปปง.เสนอ ไปประกอบการยกร่างพรบ.การดำเนินงานขององค์กรไม่แสวงหารายได้ หรือกำไรมาแบ่งปันกัน
3. วันที่ 4 มกราคม 2565 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ “ร่างพรบ.การดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร” ของคณะกรรมการกฤษฎีกา(คณะที่ 2)จัดทำขึ้นใหม่ตามที่สำนักงานกฤษฎีกาเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญให้มีกลไกการส่งเสริมและพัฒนาในหมวด 1 และกลไกการกำกับควบคุมในหมวด 2 และมอบหมายให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไปดำเนินการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมายตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ 2560
หลักสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและกติการหว่างประเทศ
โดยที่เสรีภาพในการรวมกลุ่ม การชุมนุมสาธารณะ การแสดงออก สิทธิส่วนบุคคล และสิทธิการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งสิทธิการมีส่วนร่วม เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้มีการรับรองและคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่ประเทศไทยเป็นภาคี ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางและนโยบายสาธารณะ อันถือเป็นการสร้างสมดุลทางอำนาจระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม ในการจัดสรรทรัพยากรของสังคมอย่างสมดุล เท่าเทียมและเป็นธรรมในระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
แต่ร่างกฎหมายการดำเนินงานองค์กรไม่แสวงหากำไร หรือ “ร่างกฎหมายควบคุมองค์กรประชาชน” มีจุดมุ่งหมายเพื่อขัดขวางและควบคุมการรวมตัวของประชาชนที่มีวัตถุประสงค์และการดำเนินงานเพื่อประโยชน์ของสังคมหรือประโยชน์สาธารณะ ซึ่งขัดกับเสรีภาพเสรีภาพในการรวมกลุ่ม เสรีภาพในการแสดงออก สิทธิส่วนบุคคล รวมทั้งสิทธิการมีส่วนร่วม อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้มีการรับรองและคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่ประเทศไทยเป็นภาคี โดยมีการใช้อำนาจรัฐควบคุมการรวมตัวและการดำเนินงานขององค์กรประชาชน ดังนี้
1. ควบคุมการรวมกลุ่มของประชาชนทุกรูปแบบที่ดำเนินกิจกรรมเพื่อประโยชน์ของสังคมหรือประโยชน์สาธารณะโดยไม่มุ่งแสวงหากำไรมาแบ่งปันกัน ทั้งองค์กรที่เป็นนิติบุคคล องค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายโดยเฉพาะ หรือการรวมกลุ่มในรูปแบบต่างๆ แต่ไม่รวมถึงการกลุ่มเฉพาะคราว หรือรวมกลุ่มเพื่อกลุ่มของตัวเอง หรือเพื่อพรรคการเมือง ซึ่งองค์กรที่เป็นนิติบุคคลและองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายโดยเฉพาะต้องปฏิบัติตามกฎหมายเฉพาะแล้วยังต้องปฏิบัติตามกฎหมายนี้ด้วย จึงเป็นการออกกฎหมายเกินความจำเป็นและสร้างภาระเกินสมควรแก่ประชาชน
2. ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจแบบเลือกปฏิบัติ โดยให้คณะกรรมการเสนอคณะรัฐมนตรีมีมติผ่อนผันหรือยกเว้นให้องค์กรประชาชนไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายนี้ อันขัดกับหลักความเสมอภาคและห้ามเลือกปฏิบัติตามที่รัฐธรรมนูญรับรองและคุ้มครองไว้
3. ควบคุมกิจกรรมขององค์กร โดยเจ้าหน้าที่มีอำนาจวินิจฉัยการดำเนินงานขององค์กรประชาชน และมีอำนาจออกคำสั่งให้หยุดหรือแก้ไขการดำเนินงาน ในกรณีที่เจ้าหน้าที่เห็นว่าองค์กรประชาชนดำเนินงาน ในกรณี ดังนี้
1)กระทบต่อความมั่นความมั่นคงของรัฐ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
2)กระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีอันดีของประชาชน หรือก่อความแตกแยกในสังคม
3) กระทบต่อประโยชน์สาธารณะ รวมทั้งความปลอดภัยสาธารณะ
4)กระทำผิดกฎหมาย
5) ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น หรือกระทบต่อความเป็นอยู่โดยปกติสุขของบุคคลอื่น หากองค์กรประชาชนไม่หยุดดำเนินกิจกรรมตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ดังกล่าว จะมีความผิดและมีโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท และปรับอีกวันละหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่
บทบัญญัติดังกล่าว เป็นการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ วินิจฉัยการดำเนินงานขององค์กรประชาชนอย่างกว้างขวางไม่มีขอบเขตที่ชัดเจน ไม่มีเหตุผลอันจำเป็น และไม่เป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน ทั้งการให้มีอำนาจลงโทษทางอาญา ถือเป็นการใช้อำนาจตุลาการเสียเอง อันเป็นการขัดต่อหลักนิธิธรรมอย่างร้ายแรง อีกทั้งเป็นการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่นที่กำหนดฐานความผิดและมีการเอาผิดตามกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายนั้นๆได้อยู่แล้ว อีกทั้งศาลซึ่งเป็นสถาบันอิสระจะเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาตัดสินชี้ขาดการกระทำความผิดตามกฎหมาย
4. ควบคุมการรับเงินอุดหนุนหรือเงินบริจาคจากต่างประทศ โดยองค์กรประชาชนต้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้
1. แจ้งชื่อแหล่งทุน บัญชีธนาคารที่จะรับเงิน จำนวนเงินและวัตถุประสงค์ในการใช้เงิน
2. รับเงินผ่านบัญชีที่แจ้งไว้
3. จัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายแยกจากบัญชีรายรับอื่นและเปิดเผยให้คนทั่วไปได้รับทราบ และต้องเก็บรักษาบัญชีให้ตรวจสอบเป็นเวลาสามปี
4. ต้องใช้เงินดำเนินกิจกรรมตามวัตถุประสงค์
ทั้งนี้ คณะกรรมการมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับเงินอุดหนุนหรือเงินบริจาคจากต่างประเทศ และการจัดทำวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการรับเงิน
หากองค์กรฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกรณีดังกล่าว จะมีความผิดมีโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท และปรับอีกวันละหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่
การรับเงินอุดหนุนหรือเงินบริจาคจากต่างประเทศ เป็นสิทธิของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ดำเนินงานเพื่อส่งเสริมคุ้มครอง หรือทำให้เกิดผลการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนโดยสันติวิธี ที่จะร้องขอ รับ และใช้ทรัพยากรเพื่อวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ซึ่งรวมถึงการรับเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ ซึ่งสิทธิดังกล่าวได้รับการรับรองตามปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (UN Declaration on Human Rights Defenders) ค.ศ. 1998 ที่ประเทศไทยรับรอง อีกทั้ง การทำธุรกรรมทางการเงินจากต่างประเทศต้องผ่านธนาคารพาณิชย์ ซึ่งถูกควบคุมโดยธนาคารแห่งประทศไทยอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ หากเจ้าหน้าที่รัฐมีเหตุอันควรสงสัยโดยมีพยานหลักฐานตามสมควรว่าองค์กรประชาชนใดมีการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย เจ้าหน้าที่มีอำนาจตรวจสอบการกระทำขององค์กรดังกล่าวได้ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จึงไม่มีความจำเป็น และเป็นการใช้อำนาจเกินสมควรแก่เหตุที่จะออกกฎหมายควบคุมองค์กรทั้งหมดแบบเหมารวมเช่นนี้
5.ควบคุมข้อมูลองค์กรประชาชน
5.1 ควบคุมข้อมูลเกี่ยวกับองค์กร โดยให้องค์กรประชาชนต้องเปิดเผยข้อมูล วัตถุประสงค์ วิธีการดำเนินงาน แหล่งที่มาของรายได้เงิน และรายชื่อผู้รับผิดชอบ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการเปิดเผยข้อมูลที่คณะกรรมการกำหนด
5.2 ควบคุมข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ขององค์กร โดยให้องค์กรประชาชนที่มีรายได้จากการรับเงินบริจาคจากบุคคลทั่วไป หรือจากแหล่งทุนต่างประเทศ ต้องจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายในรอบปีปฏิทิน ซึ่งผู้รับผิดชอบองค์กรรับรองความถูกต้องและต้องเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด
หากองค์กรประชาชนไม่เปิดเผยข้อมูลหรือปกปิดข้อมูล เจ้าหน้าที่มีอำนาจแจ้งเตือนให้องค์กรเปิดเผยภายในเวลาที่กำหนด หากไม่เปิดเผยข้อมูล เจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้องค์กรนั้นหยุดดำเนินกิจกรรมขององค์กรจนกว่าจะเปิดเผยข้อมูล หากไม่หยุดการดำเนินการตามคำสั่งเจ้าหน้าที่จะมีโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาทและปรับอีกวันละหนึ่งพันบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง
ข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรและข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ขององค์กร เป็นสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าในทางใดๆ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพียงเท่าที่จําเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่ร่างกฎหมายนี้ได้บังคับให้องค์กรประชาชนเปิดเผยข้อมูลรวมศูนย์ไว้ที่หน่วยงานรัฐโดยไม่มีเหตุผลจำเป็นแต่อย่างใด เนื่องจากองค์กรประชาชนส่วนใหญ่รายงานข้อมูลดังกล่าวต่อหน่วยงานของรัฐ ตามกฎหมายโดยเฉพาะ และมีการเผยแพร่ทางสื่ออีเล็กทรอนิกส์ขององค์กรเพื่อประชาสัมพันธ์ผลงานต่อสาธารณะชน ซึ่งทำให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้โดยผ่านสื่อดังกล่าว
6. กำหนดบทลงโทษทางอาญา ผู้รับผิดชอบขององค์กรต้องรับโทษเช่นเดียวกับองค์กรประชาชนในกรณีที่องค์กรทำผิดตามกฎหมายนี้ เป็นการลงโทษเกินความจำเป็นและไม่ได้สัดส่วนการกระทำความผิดกับประโยชน์สาธารณะในสังคมประชาธิปไตย ซึ่งให้ความสำคัญกับการรับรองเสรีภาพการรวมตัวเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมกำหนดกิจการของรัฐที่มุ่งประโยชน์ของสังคม หรือประโยชน์สาธารณะ
ร่างกฎหมายนี้ นอกจากจำกัดสิทธิเสรีภาพเกินความจำเป็น ไม่เป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน หลักความเสมอภาคและห้ามเลือกปฏิบัติแล้ว ยังเป็นการขัดขวางและกีดกันประชาชนในการใช้สิทธิร่วมกำหนดอนาคตของตัวเองในการพัฒนาประเทศตามระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมอีกด้วย