"...การสานสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบียในครั้งนี้จะก่อให้เกิดผลบวกต่อความรู้สึกของประชาชนชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้ที่มองเห็นว่า ซาอุดิอาระเบียเป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลาม อันจะส่งผลให้การประสานงานและการพัฒนาระหว่างจังหวัดชายแดนใต้กับซาอุดิอาระเบียที่เคยมีมาอย่างต่อเนื่อง ให้มีประสิทธิภาพขยายขอบเขตให้กว้างขวางมากขึ้น..."
หลังจากที่ประเทศไทยและซาอุดิอาระเบียมีปัญหาถึงกับต้องลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันมาเป็นเวลานานกว่า 30 ปี ความสำเร็จในการเดินทางไปปรับสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อเร็วๆ นี้ จึงเป็นนิมิตรหมายที่ดีสำหรับประเทศไทย เพราะซาอุดิอาระเบียเป็นตลาดการค้าใหญ่ที่สำคัญยิ่งในตะวันออกกลาง และประเทศไทยก็จะได้ประโยชน์อย่างมหาศาลกับการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกันในครั้งนี้
เพราะนอกจากจะได้ประโยชน์จากเรื่องการค้าการลงทุนการส่งออกแล้ว ยังมุ่งเน้นในเรื่องความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน สาธารณสุขและการท่องเทียว ตลอดจนการแสวงหาความร่วมมือในมิติใหม่ๆ ที่ต่างฝ่ายต่างก็มีศักยภาพเช่นเรื่องพลังงานหมุนเวียน การเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาทางด้านดิจิทัล ตลาดสินค้ารถยนตน์ และส่วนประกอบอุตสาหกรรมอาหาร อาหารแปรรูป อาหารฮาลาล สินค้าเกษตร เครื่องจักรกล เครื่องประดับ อุปกรณ์ไฟฟ้า Medical Hub และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Thailand Wellness) ซึ่งชาวซาอุดิอาระเบียมีศักยภาพสูงในการจับจ่ายใช้สอยในลักษณะนี้เป็นอย่างมาก
การสานสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบียในครั้งนี้จะก่อให้เกิดผลบวกต่อความรู้สึกของประชาชนชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้ที่มองเห็นว่า ซาอุดิอาระเบียเป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลาม อันจะส่งผลให้การประสานงานและการพัฒนาระหว่างจังหวัดชายแดนใต้กับซาอุดิอาระเบียที่เคยมีมาอย่างต่อเนื่อง ให้มีประสิทธิภาพขยายขอบเขตให้กว้างขวางมากขึ้น
นอกจากนี้ไทยยังมีนโยบายที่จะเปิดโอกาสให้คนซาอุดิอาระเบียมาเที่ยวเมืองไทยโดยไม่ต้องใช้วีซ่า เปิดวีซ่าทำงานให้คนไทยสามารถไปทำงานซาอุดิอาระเบียได้ด้วยการเพิ่มโค้วต้าแรงงาน เพิ่มช่องทางนำเข้าและการส่งออกระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบีย จะดำเนินการเปิดสายการบินระหว่างประเทศของทั้งสองประเทศให้เดินทางไปมาหาสู่กันได้สะดวก และแต่งตั้งทูตระดับ เอกอัครราชทูตประเทศซาอุดิอาระเบีย และประเทศไทยด้วย
การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและซาอุดิอาระเบียนั้น ต้องนับว่าเป็นความพยายามที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยความช่วยเหลือของมิตรประเทศในตะวันออกกลาง นักธุรกิจภาคเอกชนไทยที่มีสายสัมพันธ์เป็นอันดีกับนักธุรกิจและผู้บริหารระดับสูงของซาอุดิอาระเบียและคุณลักษณะพิเศษของความสัมพันธ์ระหว่างชาติที่ทั้งไทยและซาอุดิอาระเบียซึ่งต่างก็เป็น “ราชอาณาจักร” ที่มุ่งจะให้ความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อรับมือกับบริบทโลกใหม่ด้วยความเข้าอกเข้าใจกันเป็นพิเศษ และสามารถร่วมมือกันในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นราชอาณาจักรไทย ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย บูรไนและบาร์เรน
ในขณะเดียวกันความปรารถนาที่จะสร้างเครือข่ายพันธมิตรของซาอุดิอาระเบียในฐานะพี่ใหญ่ในโลกอาหรับเพื่อคานดุลอำนาจมหาอำนาจโลกที่กำลังเผชิญหน้ากันระหว่างสหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย ทำให้ซาอุดิอาระเบียต้องแสวงหาความร่วมมือทุกวิถีทางกับมิตรประเทศในโลก
สำหรับองค์มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบีย เจ้าชาย “โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอาซิซ อัล ซาอูด” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย ซึ่งนอกจากจะให้การต้อนรับการไปเยือนซาอุดิอาระเบียเพื่อฟื้นฟูสัมพันธ์ไมตรีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย อย่งเต็มที่อบอุ่นและสมเกียรติแล้วพระองค์จึงทรงตอบรับที่จะเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ตามคำกราบบังคลทูลเชิญเสด็จของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเร็วๆ นี้ด้วย
สายสัมพันธ์ที่กำลังจะเริ่มต้นใหม่และก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างมีอนาคตของซาอุดิอาระเบียและประเทศไทยกำลังจะตอกย้ำให้รัฐบาลไทยผู้นำของไทยตระหนักว่า ความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรทั้งสอง ไม่ได้สานสัมพันธ์ธรรมดาที่มุ่งประโยชน์ทางการค้าและธุรกิจระหว่างกันเท่านั้น หากความเป็นราชอาณาจักร ย่อมมีความหมายลึกซึ้งที่ทั้งสองฝ่ายต้องตระหนัก และการวางตัวผู้แทนประเทศระดับ เอกอัครราชทูต ก็ต้องมีความสำคัญมากกว่าการเป็นข้าราชการต่างประเทศ ที่เป็นใครก็ได้ โดยพิจารณาจากการเป็นข้าราชการอาวุโส แต่เพียงอย่างเดียว เรื่องเช่นนี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คงไม่ปล่อยให้ผ่านเลยโดยไม่ตระหนักถึงความสำคัญและความละเอียดอ่อนที่จะต้องระมัดระวังอย่างแน่นอน