"...ชีวประวัติข้างต้น เป็นเรื่องราวของแม่ผมเองครับ แม่แถมสุข นุ่มนนท์ ซึ่งผมได้สรุปเขียนไว้ในท้ายหนังสือเล่มดังกล่าวว่า ผมช่างโชคดีเหลือเกินที่เกิดมาเป็นลูกของแม่แถมสุข และการดูแลทดแทนบุญคุณให้ในช่วงที่ผ่านมา คงไม่สามารถทดแทนกับสิ่งที่แม่ได้ให้กับผมมาทั้งชีวิต ขอบคุณครับสำหรับของขวัญล้ำค่าที่แม่มอบให้ผม “ผมรักแม่ครับ”..."
แม่รักและผูกพันกับ Weekly Mail มาโดยตลอด ทุกช่วงปลายสัปดาห์จะโทรศัพท์มาถามผมว่า สัปดาห์นี้จะเขียนเรื่องอะไร เพื่อว่าแม่จะได้ไปค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติม และเมื่อผมส่งร่างบทความที่เขียนไปให้เย็นวันเสาร์ แม่จะอ่านทันที เพื่อรอแก้ไขกันทางโทรศัพท์ในเช้าวันอาทิตย์ พร้อมกับขอให้ส่งมาอีกรอบ ก่อนจะแก้ไขอีกคำรบหนึ่งหลังรับประทาน อาหารกลางวัน สรุปว่าเราใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงในการร่วมกันเขียน Weekly Mail แต่ละฉบับ นับเป็นช่วงเวลาแห่งความรักและผูกพันระหว่างแม่กับลูกที่เหนือคำบรรยาย โดยแม่จะตั้งหน้าตั้งตารออ่านฉบับสมบูรณ์เมื่อส่งให้ผู้อ่านในทุกเช้าวันจันทร์ ถึงแม้ว่าต่อจากนี้ไป แม่จะไม่ได้มาช่วยเกลาภาษาให้สละสลวยขึ้นแล้ว แต่แม่คงจะปรารถนาให้ผมยังเขียน Weekly Mail ต่อไปเรื่อย ๆ ผมขอนำ Weekly Mail ที่ได้เขียนถึงแม่ในหัวข้อ “คุณแม่แถมสุข” เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2554 มาให้พวกเราได้อ่านอีกครั้งหนึ่ง เพื่อน้อมรำลึกถึงพระคุณของแม่ครับ
ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสพาครอบครัวไปเที่ยวและค้างคืนที่จังหวัดนครนายก ซึ่งยังคงมีความเป็นธรรมชาติที่ห้อมล้อมด้วยภูเขาที่เขียวขจีไว้อย่างดี พร้อมกับได้สูดอากาศบริสุทธิ์ จากธรรมชาติอย่างเต็มปอด ทำให้ผมได้ผ่อนคลายและมีโอกาสได้อ่านชีวประวัติของคุณแม่ท่านหนึ่ง ที่เกิดมาเนื้อตัวเขียว ปากเขียว ไม่มีลมหายใจ เพราะคลอดก่อนกำหนด แต่คุณหมอได้กลับฟื้นชีวิตขึ้นเมื่อ 76 ปีก่อน [1]
ชีวิตของแม่ท่านนี้โลดโผนมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากคุณพ่อได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดพัทลุง ทำให้ชีวิตในช่วงแรก ๆ ไม่ได้ยากลำบากนัก แม้ว่าจะต้องย้ายตามครอบครัวไปเรียนที่จังหวัดพัทลุงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่จุดพลิกผันเกิดขึ้นเมื่อพ่อเสียชีวิตอย่างกะทันหันเมื่อเรียนจบ ป. 2 ทำให้ท่านต้องช่วยครอบครัวด้วยการหั่นหยวกกล้วย คลุกรำเลี้ยงแม่หมู แต่ด้วยความเป็นคนขยัน มุมานะ และใฝ่รู้ตั้งแต่เด็กจึงเป็นเด็กที่เรียนหนังสือเก่ง มรดกที่พ่อเหลือไว้คือหนังสือผู้ใหญ่ มีทั้งหนังสือพงศาวดาร นวนิยาย และหนังสือแปล ท่านจะหยิบคว้ามาอ่านเล่มแล้วเล่มเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจำขึ้นใจจึงไม่น่าแปลกใจที่ท่านสอบได้ที่ 1 ทุกปี และสอบได้ที่หนึ่งของจังหวัดจนได้รับทุนมูลนิธิฟุลไบร้ท์ เข้ามาเรียนต่อถึง ม.8 ที่วัฒนาวิทยาลัย เพื่อสานความฝันที่จะเป็นอักษรศาสตร์บัณฑิต ซึ่งสามารถสอบได้ เป็นที่ 9 ของประเทศเข้าเรียนที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ตามที่ตั้งใจไว้ และได้บรรจุเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ภายหลังที่จบเป็นบัณฑิตใหม่ ๆ ก่อนได้รับทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยฮ่องกง จนจบปริญญาเอกสาขาวิชาประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลอนดอน [2]
ท่านได้กลับมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่แผนกวิชาประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และย้ายไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก่อนเกษียณอายุราชการที่มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยมีผลงานเขียนหนังสือประวัติศาสตร์ไว้หลายเล่ม และเป็นที่ปรากฏในตำราวิชาประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน
แม่พบพ่อในช่วงศึกษาปริญญาเอกที่อังกฤษ และมีบุตร 2 คน ซึ่งในช่วงที่แม่เลี้ยงดูบุตรทั้งสอง ท่านได้ให้การศึกษาที่ดีแก่ลูก และได้ปลูกจิตใต้สำนึกให้กับลูก ๆ ที่ต้องตอบแทนสังคม แม่ไม่ทิ้งโอกาสให้กับลูก ๆ เมื่อได้รับเชิญให้ไปทำวิจัยและสอนหนังสือที่อเมริกาทั้งสองครั้ง ครั้งแรกหอบหิ้วลูกสองคนไปอยู่ที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลเป็นเวลา 1 ปี และครั้งที่สอง ไปที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์อีก 1 ปี นำลูกชายคนโตไปเรียนต่อจบเกรด 12 จนสามารถศึกษาจบปริญญาตรีที่อเมริกา
ลูกชายคนโตได้เขียนถึงแม่ในหนังสือที่คุณแม่เขียนขึ้นว่า “ชีวิตเมืองนอก ผมไม่เคยรู้สึกว่าห่างไกลเมืองไทย ทั้งพ่อและแม่จะเขียนจดหมายถึงผมทุกสัปดาห์ ผมก็มีหน้าที่เขียนตอบทุกสัปดาห์เช่นกัน รวมความแล้ว สิ่งที่แม่ให้เป็นเสมือนมหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ที่ผมและน้องมีโอกาสได้เรียนรู้และถ่ายทอดประสบการณ์เรื่องราวต่าง ๆ จากประสบการณ์อันมีค่าของแม่ “Thamsook University”
ชีวประวัติข้างต้น เป็นเรื่องราวของแม่ผมเองครับ แม่แถมสุข นุ่มนนท์ ซึ่งผมได้สรุปเขียนไว้ในท้ายหนังสือเล่มดังกล่าวว่า ผมช่างโชคดีเหลือเกินที่เกิดมาเป็นลูกของแม่แถมสุข และการดูแลทดแทนบุญคุณให้ในช่วงที่ผ่านมา คงไม่สามารถทดแทนกับสิ่งที่แม่ได้ให้กับผมมาทั้งชีวิต ขอบคุณครับสำหรับของขวัญล้ำค่าที่แม่มอบให้ผม “ผมรักแม่ครับ”
หมายเหตุ:
[1] Weekly Mail “คุณแม่แถมสุข” วันที่ 15 สิงหาคม 2554
[2] “แถมสุขวัยรุ่น และ แถมสุขวัยสาว”, แถมสุข นุ่มนนท์ จัดพิมพ์ในโอกาสวันเกิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2538 และวันที่ 21 มิถุนายน 2540