"...เหตุการณ์ล่าสุดนี้กระทบกับราชวงศ์อังกฤษเพียงใด จากการอ่านรายงานข่าวของบีบีซีภาษาอังกฤษพบว่ามีความเห็นจากผู้รู้และที่ศึกษาเกี่ยวกับราชวงศ์อังกฤษให้ข้อคิดว่า ที่จริงราชวงศ์อังกฤษนั้นเคยผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมาไม่น้อยแต่ก็รอดมาได้ ด้วยเหตุผลที่คนส่วนใหญ่สามารถแยกออกว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ กับบุคคลที่เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันนั้นต่างกันหรือแยกกัน (คือปัญหาความเสื่อมเสียที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของบุคคล คนที่ทำก็รับผิดชอบไป ไม่เกี่ยวกับสถาบัน-ผู้เขียน)..."
เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่าประเทศอังกฤษกับราชวงศ์อังกฤษนั้นเป็นที่รู้จักกันดีของคนทั่วโลกหรือแม้แต่คนอังกฤษเองก็จับตามองตลอดเวลา โดยเฉพาะพระราชวงศ์ในยุคปัจจุบันซึ่งก็มีเหตุการณ์สำคัญโด่งดังเกิดขึ้นให้เห็นหลายอย่าง
อันที่จริงปีนี้ถือได้ว่าเป็นปีที่มีความสำคัญอย่างมากทีเดียวต่อสถาบันกษัตริย์อังกฤษ เพราะเป็นปีที่สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติครบ 70 ปีหรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Platinum Jubilee ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ และไม่เพียงแต่สมเด็จพระราชินีฯจะทรงครองราชย์นานถึง 70 ปีเท่านั้น แต่พระองค์จะยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของอังกฤษที่ทรงครองราชย์ยืนยาวถึง 70 ปีอีกด้วย (พระราชินีวิคตอเรียทรงครองราชย์ยืนยาวที่สุดเพียง 63 ปี)
ในโอกาสวาระสำคัญเช่นนี้น่าจะมีการเฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนานเบิกบานใจของคนทั้งปวงในประเทศรวมทั้งพระราชวงศ์เองด้วย
แต่ปรากฏว่าเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมากลับมีข่าวใหญ่ที่เหมือนฟ้าผ่าลงกลางพระราชวังบัคกิ้งแฮมในกรุงลอนดอน ก็คือผู้พิพากษาในสหรัฐอเมริกาได้วินิจฉัยรับคำร้องในคดีแพ่งที่หญิงสาวชาวอเมริกันคนหนึ่งฟ้องเจ้าชายแอนดรู พระราชโอรสองค์ที่สองของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ว่าได้กระทำการล่วงละเมิดทางเพศเธอในวัย 17 ปีเมื่อ 20 ปีก่อน
เมื่อปรากฏข่าวศาลอเมริกันรับฟ้องนี้ออกมา ก็ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวของสำนักพระราชวังอังกฤษทันใดและน่าตกใจอยู่ไม่น้อย คือ สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเรียกคืนฐานันดร His Royal Highest, HRH และยศทางทหารบางตำแหน่งของเจ้าชายแอนดรู อันหมายความว่าเจ้าชายแอนดรูจะไม่มีพระอิสริยศของราชวงศ์อังกฤษนับจากนี้ไปและตำแหน่งทางทหารของอังกฤษในบางตำแหน่งก็ถูกริบคืน อย่างไรก็ดีพระองค์จะยังทรงมียศบางตำแหน่งเหลืออยู่บ้างโดยที่ยังไม่ถูกริบคืนในตอนนี้
คำประกาศเช่นนี้มีความหมายหลายอย่าง เช่น ราชวงศ์อังกฤษตัดขาดเจ้าชายแอนดรูให้ไปสู้คดีความทางแพ่งในฐานะคนธรรมดาเอง โดยไม่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์อังกฤษแต่อย่างใด เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ให้ความมัวหมองที่จะเกิดขึ้นจากคดีฟ้องร้องนี้ลุกลามมาทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสียชื่อเสียงไปมากกว่านี้
การประกาศตัดเจ้าชายแอนดรูออกจากตำแหน่งต่างๆและหน้าที่ที่จะต้องทรงปฏิบัติเช่นนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในอังกฤษอย่างกว้างขวางโดยบางส่วนเห็นกันว่าเป็นการป้องกันราชวงศ์เสียแต่ต้นมือ (แต่ใจดำไปหน่อย) โดยไม่ว่าผลของคดีฟ้องร้องดังกล่าวจะออกมาอย่างไรก็ตาม เป็นอันว่าราชวงศ์จะไม่ต้องรับรู้กรณีใดๆของเจ้าชายแอนดรูอีกต่อไป
การตัดหางปล่อยวัดอย่างไม่มีเยื่อใยของสมเด็จพระราชินีฯ เช่นนี้ทำให้เจ้าชายแอนดรู (ซึ่งมีรายงานข่าวว่าพระองค์เองก็ยินยอมและเห็นด้วย) เสียชื่อเสียงและเสียหน้าอย่างยิ่ง และจะนำไปสู้การพ่ายแพ้ในศาลหรือไม่ก็ต้องคอยดู ตอนนี้เจ้าชายแอนดรูต้องทรงต่อสู้ชีวิตของพระองค์ตามลำพัง และต่อสู้กับคดี โดยไม่มีอะไรหนุนหลังอีกด้วย
เหตุการณ์ล่าสุดนี้กระทบกับราชวงศ์อังกฤษเพียงใด จากการอ่านรายงานข่าวของบีบีซีภาษาอังกฤษพบว่ามีความเห็นจากผู้รู้และที่ศึกษาเกี่ยวกับราชวงศ์อังกฤษให้ข้อคิดว่า ที่จริงราชวงศ์อังกฤษนั้นเคยผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมาไม่น้อยแต่ก็รอดมาได้ ด้วยเหตุผลที่คนส่วนใหญ่สามารถแยกออกว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ กับบุคคลที่เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันนั้นต่างกันหรือแยกกัน (คือปัญหาความเสื่อมเสียที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของบุคคล คนที่ทำก็รับผิดชอบไป ไม่เกี่ยวกับสถาบัน-ผู้เขียน)
ประกอบกับความนิยมชมชอบในตัวสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 เองของชาวอังกฤษก็ยังมีอยู่มาก อาจช่วยให้เรื่องเจ้าชายแอนดรูพระโอรสนั้น ไม่ส่งผลเสียต่อสถาบันมากนัก
ผู้เขียนอยากจะตีความอุปมาอุปมัยที่มักจะพูดกันหลังจากที่พระเจ้าแผ่นดินสิ้นพระชนม์ ในอังกฤษจะมีการประกาศว่า “The king is dead, long live the king” หรือในฝรั่งเศสก็มีเช่นกัน ก็คือ “Le roi est mort, vive le roi !”
ความหมายคือพระมหากษัตริย์พระองค์เก่าสวรรคตแล้ว ขอพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ทรงพระเจริญ เป็นการสืบทอดสันตติวงศ์ต่อไปในทันที คือไม่มีช่องว่างเลย โดยสถาบันพระมหากษัตริย์ดำเนินต่อไป
กลับมาเรื่องคดีความของเจ้าชายแอนดรูกันต่อ เผื่อที่ว่าท่านผู้อ่าน ที่อาจจะยังไม่เห็นคดีฟ้องแพ่งของเจ้าชายแอนดรูมาก่อน และไม่รู้ว่าเรื่องราวการฟ้องร้องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ขอขยายความตรงนี้ให้ทราบดังนี้ ที่จริง เรื่องที่หญิงชาวอเมริกันผู้นี้มาฟ้องเจ้าชายตอนนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อนโน้น แต่มาเกิดการฟ้องขึ้นครั้งนี้ เหมือนโรคซ้ำ กรรมซัดวิบัติเป็น ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึงพาของเจ้าชายแห่งราชวงศ์วินเซอร์พระองค์นี้จริงๆ
ในคำฟ้องของหญิงสาวชาวอเมริกันที่ชื่อว่า Virginia Giuffre ขณะนี้วัย 38 ปีผู้นี้บรรยายว่าในปี ค.ศ. 2001 ขณะนั้นเธออายุเพียง 17 ปีและใช้นามสกุลว่า Roberts เธอถูกคนสองคนคือ Jeffrey Epstein ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีชาวอเมริกันอาศัยอยู่ในนิวยอร์กและเพื่อนสาวชาวอังกฤษของเขาชื่อ Ghislaine Maxwell ได้จัดหาเธอให้มาพบกับเจ้าชายแอนดรู และเธอได้รับคำบอกกล่าวจาก Ghislaineว่าให้ทำให้เจ้าชายพอใจเหมือนกับที่เธอทำกับ Jeffrey (Jeffrey เป็นคนชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก)
เธอบรรยายว่าเธอได้พบกับเจ้าชายแอนดรูสามครั้งคือ ในนิวยอร์ก,ลอนดอน และที่เกาะส่วนตัวของJeffrey และทั้งสามครั้งเธอได้มีเพศสัมพันธ์กับเจ้าชาย และเจ้าชายก็ทราบดีในอายุอานามของเธอในขณะนั้น และที่เธอยินยอมทำตามก็เพราะหวาดกลัวในอิทธิพลของคนทั้งสอง
สำหรับอดีตพระสหายทั้งสองคนที่แนะนำและนำพา Virginia มาให้รู้จักนั้นจากรายงานข่าวบอกว่าต่อมาในเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 2019 Jeffrey Epstein ถูกจับในข้อหาความผิดที่มีเพศสัมพันธ์กับเด็กและปรากฏว่าในระหว่างที่ถูกคุมขังรอการดำเนินคดีเขาได้ฆ่าตัวตายในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน ส่วน Ghislain Maxwell ต่อมาก็ถูกจับเมื่อปลายปีที่แล้วและกำลังถูกดำเนินคดีในความผิดข้อหาจัดหาเด็กสาวเพื่อบำเรอคนรวยหรือคนที่มีอำนาจซึ่งอาจรวมถึงเจ้าชายแอนดรูด้วย
อย่างไรก็ดีก่อนที่ Jeffrey จะถูกจับ เขาได้ตกลงและทำหนังสือสัญญากับ Virginia ในปีค.ศ. 2009 ว่าจะไม่ฟ้องร้องเรื่องที่เขานำพาเธอไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นหรือกับตัวเขาโดยทั้งสองฝ่ายตกลงกันและ Jeffrey ยอมจ่ายเงินให้เธอเป็นจำนวน 5 แสนดอลล่าร์
ซึ่งข้อตกลงอันนี้ทางฝ่ายทนายของเจ้าชายแอนดรูพยายามชี้ให้เห็นว่า Virginer ไม่สามารถฟ้องร้องเจ้าชายแอนดรูได้เพราะได้ทำข้อตกลงนี้ไปแล้วและรับเงินไปแล้ว ข้อตกลงอันนี้ได้สิ้นสุดไปแล้ว และทางฝ่ายเจ้าชายแอนดรูเองก็ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาของ Virginer ตลอดมาว่าไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใดและท่านยังเคยบอกว่าจำหญิงสาวคนนี้ไม่ได้ด้วย และเจ้าชายได้พยายามที่จะใช้ข้อตกลงดังกล่าวมาอ้างให้พ้นจากการดำเนินคดี
ความพยายามฟ้องร้องเจ้าชายแอนดรูของVirginer นี้เธอเคยนำเรื่องไปถึงศาลในนิวยอร์กหลายครั้งแต่ศาลก็ไม่ยอมรับเรื่องร้องเรียนมาตลอดจนกระทั่งมาถึงยุคของผู้พิพากษาชื่อ Lewis A Kaplan ที่เห็นว่าข้อตกลงที่มีการจ่ายเงินชดเชยไปแล้ว 5 แสนดอลล่านั้น ไม่สามารถนำมาอ้างเพื่อประโยชน์ต่อข้อกล่าวหาของเจ้าชายได้เพราะไม่ได้ครอบคลุมถึงบุคคลที่สามและมีความคลุมเคลือของความหมายของข้อตกลงดังนั้นผู้พิพากษา Kaplan จึงได้สั่งให้รับคำร้องเพื่อพิจารณาคดีในปีนี้
คดีนี้ถือว่าเจ้าชานแอนดรูโชคไม่ดีอยู่สองอย่างคือ อดีตพระสหาย คือนาย Jeffrey ได้ฆ่าตัวตาย(ในปี ค.ศ. 2019) ไปก่อนซึ่งเขาอาจเป็นปากคำยืนยันหรือปฏิเสธได้ว่าเจ้าชายแอนดรูได้พบและมีความสัมพันธ์กับ Virginer จริงหรือไม่ พยานที่สองคือ รูปถ่ายของเจ้าชายแอนดรูที่ยืนโอบสะเอวของ Virginer ในวัย 17 ปี โดยมีGhislain Maxwell ยืนอยู่ด้วย ภาพนี้เมื่อถูกบีบีซีสัมภาษณ์เจ้าชายก็ตอบว่าจำไม่ได้ว่าเกิดขึ้นที่ไหน-อย่างไร ซึ่งจากการสัมภาษณ์ครั้งนั้นทำให้ เจ้าชายแอนดรูถูกสมเด็จพระมารดาสั่งห้ามออกทรงงานพิธีต่างๆ เพราะถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และนำมาซึ่งการรับฟ้องต่อศาลในนิวยอร์กในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว
เรื่องนี้เพิ่งจะเริ่มต้น และก็มีการตีความหาทางออกให้เจ้าชายแอนดรูหลากหลายมากมาย เช่น ให้เจรจายอมความและยอมจ่ายเงินค่าเสียหายซะให้เรื่องจบๆไปโดยเร็ว หรือถ้าไม่ยอมเช่นนั้นก็ไป see you in court คือขึ้นศาลต่อสู้กันเลย ประการหลังนี้อาจจะนำไปสู้การสืบพยานหาหลักฐาน อันจะเป็นการตีแผ่ข้อมูลมากมายกลางศาล อันจะนำความเสียหายมาสู่เจ้าชายมากกว่าและกระทบต่อภาพลักษณ์ของสถาบันอีกด้วย
อย่างไรก็ดีก็มีคำทักท้วงของนักกฎหมายทางด้านนี้บอกว่า ถึงแม้เจ้าชายแอนดรูจะทรงอยากให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็วจะโดยยอมความและยอมจ่าย แต่ทว่ายังมีประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งคือทางฝ่ายVirginer จะยินดียอมด้วยหรือเปล่าและไม่เพียงแต่จะยอมจ่ายค่าเสียหายให้กับเธอเท่านั้น เรื่องคำขอโทษของเจ้าชายจะมีหรือไม่หรือฝ่ายเจ้าชายจะยอมในเรื่องนี้อย่างไร เพราะฉะนั้นการเจรจาที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องยอมรับในยอดเงินและข้อความที่จะแถลงนั้นจะยอมกันได้แค่ไหน คงต้องใช้เวลากันนานอยู่
เรื่องนี้น่าสนใจทีเดียวว่าจะจบลงอย่างไร
จะอย่างไรก็ดีเรื่องนี้คงเป็นหมอกควัน ปกคลุม พิธีฉลองครองราชย์สมบัตินานที่สุดของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ของอังกฤษในปีนี้อย่างแน่นอน และจะสร้างความหดหู่ให้กับราชวงศ์เพียงใดและเฉพาะอย่างยิ่งสมเด็จพระราชินีฯพระมารดาจะทรงรู้สึกอย่างไรในปีสำคัญของพระองค์กับข่าวฉาวของพระราชโอรส
แน่นอนไม่ว่าอะไรจะเกิด พระราชวังบัคกิ้งแฮมก็ได้ประกาศงานเฉลิมฉลอง the Queen's Platinum Jubilee this year ออกมาแล้วว่างานจะประกอบไปด้วยการแสดงคอนเสิร์ตของนักแสดงชื่อดัง, มีงานเลี้ยงตามท้องถนนให้สนุกสนานกันและงานนี้จะมีติดต่อกัน 4 วันโดยเป็นวันหยุดพิเศษจากวันที่ 2 – 4 มิถุนายนของอังกฤษ
หมายเหตุ : ภาพประกอบจากhttps://www.voathai.com