"...ไคลฟ์ เดวิสเกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน 1932 ปัจจุบันอายุย่าง 90 ปี เติบโตในครอบครัวชาวยิวเขต Brooklyn เมืองนิวยอร์ก ครอบครัวเชื่อว่า การเรียนสูง ๆ เพื่อประกอบอาชีพแพทย์หรือทนายความคือหนทางสู่ความสำเร็จในชีวิต ไคลฟ์ไม่ได้ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เป็นเด็กขยัน เรียนหนังสือเก่ง ได้เข้าเรียนระดับปริญญาตรีที่ New York University (NYU) จบพร้อมด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 สาขารัฐประศาสนศาสตร์ ได้ทุนเรียนต่อด้านกฎหมายที่ Harvard Law School เป็นเนติบัณฑิตในปี 1956 ด้วยวัยเพียง 24 ปี น่าเสียดายที่พ่อแม่เสียชีวิตไปก่อนจะได้เห็นความสำเร็จของลูกชาย..."
มองย้อนหลังกลับไปถึงวันเก่า ๆ เมื่อ 50 กว่าปีก่อน ในช่วงฤดูร้อนอบอ้าวเดือนสิงหาคม 1967 ที่บริเวณถนนไฮต์-แอสบิวรี (Haight-Ashbury) กลางเมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ซึ่งดูบรรยากาศจะร้อนอบอ้าวยิ่งกว่า เมื่อหนุ่มสาวชาวบุปผาชนหรือฮิปปี้นับแสนคนมาชุมนุมกันเรียกร้องหาอิสระเสรีภาพความเป็นตัวตนในโลกที่เปลี่ยนไป ด้วยการจัดดนตรีแนวร็อกแอนด์โรลที่คนอเมริกันส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จัก ขณะเดียวกัน มีปรากฎกายชายหนุ่มวัย 35 ปี มาดผู้ดี ในชุดกางเกงขายาวสีขาว เสื้อสเวตเตอร์ ราวกับมางานเลี้ยงสังสรรค์ จึงดูโดดเด่นสะดุดตา
ทุกเรื่องไปสุด เสียงกีตาร์ไฟฟ้ากึกก้อง เสียงกลองรัวเร็ว นักร้องตะเบ็งร้องสุดเสียง เนื้อทำนองเพลงฉีกกรอบเดิมจากเพลงคลาสสิกผสมผสานกับแฟชั่นการแต่งตัว สีผมแหวกยุค ทุกคนสนุก เคลิบเคลิ้มเข้าถึงอารมณ์ ต่างลุกขึ้นเต้นไปตามจังหวะเพลง บรรยากาศสุดมัน แปลกใหม่ไม่เคยปรากฎ และเมื่อถึงคิวของวงบิ๊กบราเธอร์และเดอะโฮลดิ้งคอมพานี เจนิส จอปลิน (Janis Joplin) ดาวรุ่งของมวลบุปผาชนขึ้นมาร้องเพลง ชายหนุ่มผู้ดีคนนั้น รับรู้ทันทีว่า เสียงเพลงที่เร้าใจของเจนิส จอปลิน กระตุกต่อมความสุข บ่งบอกว่า แม้ในโลกนี้จะมีคนร้องเพลงเป็นร้อยล้านคน แต่ “เอกลักษณ์” เฉพาะตัวต่างหากที่แยกโดดเด่นออกมา
ในคืนนั้น เขาจึงตัดสินใจเซ็นสัญญาวงบิ๊กบราเธอร์ฯ ด้วยมูลค่า 2 แสนเหรียญ นับเป็นสัญญาแรกในฐานะผู้จัดการของบริษัท Columbia Records นี่คือจุดเริ่มต้นของชายที่ชื่อ Clive Davis (ไคลฟ์ เดวิส) ผู้ผลักดันให้อุตสาหกรรมดนตรีโลดแล่นมากว่าครึ่งศตวรรษ พร้อมเปลี่ยนภาพลักษณ์ของบริษัท CBS (Columbia Broadcasting System) ที่เหนียวแน่นกับการผลิตศิลปินและเพลงแนวคลาสสิกมาโดยตลอด นับจากนั้นมา ไคลฟ์ได้ปลุกปั้นศิลปินนักร้องให้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ไม่เพียงเจนิส จอปลิน ที่เพลง Me and Bobby McGee ของเธอติดชาร์ตอันดับ 1 ในปี 1971 โดยมียอดขายอัลบั้มกว่า 15.5 ล้านชุด และนิตยสารโรลลิงสโตนจัดให้อยู่อันดับ 26 ของรายชื่อ 100 ศิลปินยอดเยี่ยมตลอดกาล ศิลปินนักร้องก้องโลกฝีมือแบบที่ไคลฟ์เลือกมีอีกนับไม่ถ้วน เช่น Bruce Springsteen, Rod Stewart, Billy Joel, Carlos Santana, Barry Manilow, Alicia Keys, Sly Stone, Aretha Franklin และ Whitney Houston ที่น่าทึ่งก็คือ ไคลฟ์ผู้นี้ไม่เคยมีแรงบันดาลใจทำธุรกิจเพลงใด ๆ มาก่อน ไม่มีพรสวรรค์หรือรู้เรื่องดนตรี และยังมีไฟที่จนทุกวันนี้ยังไม่พร้อมเกษียณตัวเอง1 ไคลฟ์ เดวิส ได้เขียนอัตชีวประวัติ The Soundtrack of My Life ออกมาเมื่อ 4 ปีก่อน และ Netflix เพิ่งมาทำเป็นภาพยนตร์สารคดีเมื่อไม่นานมานี้ เป็นผลงานที่คนคอดนตรีจะต้องหลงรักเพราะมีเรื่องราวดนตรีและศิลปินหลากหลายที่ไคลฟ์ เดวิส มีส่วนใน
ไคลฟ์ เดวิสเกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน 1932 ปัจจุบันอายุย่าง 90 ปี เติบโตในครอบครัวชาวยิวเขต Brooklyn เมืองนิวยอร์ก ครอบครัวเชื่อว่า การเรียนสูง ๆ เพื่อประกอบอาชีพแพทย์หรือทนายความคือหนทางสู่ความสำเร็จในชีวิต ไคลฟ์ไม่ได้ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เป็นเด็กขยัน เรียนหนังสือเก่ง ได้เข้าเรียนระดับปริญญาตรีที่ New York University (NYU) จบพร้อมด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 สาขารัฐประศาสนศาสตร์ ได้ทุนเรียนต่อด้านกฎหมายที่ Harvard Law School เป็นเนติบัณฑิตในปี 1956 ด้วยวัยเพียง 24 ปี น่าเสียดายที่พ่อแม่เสียชีวิตไปก่อนจะได้เห็นความสำเร็จของลูกชาย
ไคลฟ์ เดวิสเข้าทำงานในสำนักงานทนายความแห่งหนึ่งในนิวยอร์กอยู่ระยะหนึ่ง2 และหนึ่งในลูกค้าคือบริษัท CBS ได้ว่าจ้างให้มาทำงานฝ่ายกฎหมาย ในช่วง 5 ปีแรกคิดใฝ่ฝันเพียงว่าคงจะได้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของบริษัท CBS แต่แล้วเหตุการณ์ก็ไม่คาดฝันเมื่อมีการปรับโครงสร้างของบริษัท และท่านประธานเสนอให้ไคลฟ์รับหน้าที่ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตเครื่องดนตรี ซึ่งไคลฟ์ปฏิเสธเป็นพัลวันเพราะไม่เคยรู้เรื่องเครื่องดนตรี ไม่ว่าจะเป็นกีตาร์หรือแกรนด์เปียโน อย่างไรก็ตาม ในวันรุ่งขึ้นก็มีการประกาศแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้อำนวยการ CBS Records รับผิดชอบดูแลศิลปินนักร้องในสังกัดอย่างเป็นทางการ นับเป็นจุดกำเนิดของชายผู้พลิกโฉมวงการดนตรีมาตราบเท่าทุกวันนี้
ความสำเร็จของไคลฟ์ เดวิส เกิดจากความแน่วแน่ที่จะทำสิ่งดีที่สุด ให้ความใส่ใจลงไปในรายละเอียดของความเป็นตัวตนของศิลปินแต่ละคน สิ่งแรกที่ไคลฟ์ทำหลังจากเซ็นสัญญาคือ การศึกษาให้ทะลุว่านักร้องแต่ละคนมีพรสวรรค์ จุดแข็งจุดอ่อนอะไร เพื่อจะวางกลยุทธ์และเติมเต็มสร้างพลังให้มีอะไรใหม่ ๆ ทั้งเนื้อเพลง เสียงเพลง บุคลิกภาพ และอัตลักษณ์ที่ถูกยุคถูกสมัย เช่น ไคลฟ์เลือก Alicia Keys แสดงในรายการ Talk Show ของโอปราห์ วินฟรีย์ เพราะมั่นใจว่าผู้ชมจะตะลึงกับสีหน้า ท่วงที และอารมณ์ของเธอขณะเล่นเปียโน หรือวางอัลบั้มของ Rod Stewart จำหน่ายตามร้านในย่านคนมีสตางค์ของแฟนคลับ Rod Stewart
อย่างไรก็ตาม เอกลักษณ์โดดเด่นของไคลฟ์คือ การพร้อมรับฟังและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ โดยเฉพาะแนวทางดนตรีหลากหลาย ทั้งคลาสสิก แจ๊ส ร็อก ฮิปฮอป แร็ป อาร์แอนด์บี และคันทรี่3
ทุกวันนี้ ไคลฟ์ยังคงทำงานผลิตศิลปินนักร้องด้วยความหลงใหล ทุ่มเท Patti Smith ศิลปิน นักแต่งเพลง ผลผลิตของไคลฟ์ ได้กล่าวคำสรรเสริญไว้ในหนังสือ The Soundtrack of My Life ว่า “ความพิเศษของไคลฟ์คือ การเป็น “มนุษย์หูทองคำ” ตามสมญานามที่ได้รับ และเป็นคนมีความสุขได้
กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ”
เขียนโดย รณดล นุ่มนนท์
เขียนเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2565
แหล่งที่มา:
1/ Npr.org. 2022. NPR Cookie Consent and Choices. [online] Available at: <https://www.npr.org/sections/therecord/2013/02/23/172719492/clive-davis-a-life-with-a-soundtrack> [Accessed 9 January 2022].
2/ En.wikipedia.org. 2022. Clive Davis - Wikipedia. [online] Available at: <https://en.wikipedia.org/wiki/Clive_Davis> [Accessed 9 January 2022].
3/ Linkedin.com. 2022. Lessons from Clive Davis: The Soundtrack of Our Lives. [online] Available at: <https://www.linkedin.com/pulse/lessons-from-clive-davis-soundtrack-our-lives-sim-ling-ku?trk=public_profile_article_view> [Accessed 9 January 2022].