“…เศรษฐกิจไทยในปี 2565 มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับ โดยจะขยายตัว 3-4% และคาดว่าการส่งออกไทยจะขยายตัวราว 5% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 2565 จะดึงดูดคู่ชาวต่างชาติ และนักท่องเที่ยวกลับมาราว 5-6 ล้านคน …”
ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2564 แม้เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกจะยังได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด แต่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์เอาไว้ว่า เศรษฐกิจโลกปี 2565 มีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่อง และจะขยายตัวถึง 4.9% ขณะที่การค้าโลกมีแนวโน้มขยายตัว 6.7% สูงกว่าอัตราเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาที่ระดับ 3.0% และ 2.7%
ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะเป็นอย่างไรนั้น นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ว่า มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับ โดยจะขยายตัว 3-4% จากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นเป็น 44.9 ในเดือน พ.ย. 2564 สูงสุดในรอบ 7 เดือน รวมถึงการมีมาตรการของรัฐเข้ามาสนับสนุน เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละครึ่ง และเราเที่ยวด้วยกัน
และคาดว่าการส่งออกไทยจะขยายตัวราว 5% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยมีแรงหนุนสำคัญมาจากความคืบหน้าของการกระจายและฉีดวัคซีนทั่วโลก ขณะเดียวกันสินค้าไทยหลายรายการยังตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ได้ดี โดยเฉพาะสินค้าอาหารและผลไม้ สินค้าของใช้ในบ้าน สินค้า Work from Home สินค้าทางการแพทย์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
นอกจากนี้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 2565 เป็นต้นไป แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยจะเข้าร่วมตลาดขนาดใหญ่ครอบคลุมอาเซียน อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวม 15 ประเทศ คิดเป็นกำลังซื้อกว่า 30% ของโลกหรือราว 2,200 ล้านคน
“เดิมไทยส่งออกไปประเทศสมาชิก RCEP อยู่แล้วกว่า 50% ของมูลค่าส่งออกรวม การเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคนี้ จะทำให้สินค้าไทยราว 30,000 รายการ อาทิ ผลไม้ ยานยนต์ และเคมีภัณฑ์ ได้รับการลดภาษีเหลือ 0% ช่วยเพิ่มโอกาสเจาะตลาดให้แก่ผู้ส่งออกไทยได้มากขึ้น” นายรักษ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง อาทิ การกลายพันธุ์และการระบาดระลอกใหม่ของโควิด ที่อาจฉุดรั้งการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประเทศคู่ค้าบางแห่ง อัตราแลกเปลี่ยนที่อาจผันผวนมากขึ้นหลังธนาคารกลางสำคัญของโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ ที่หันมาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ และปัญหาการขาดแคลนเรือเพื่อการขนส่ง ทำให้ต้นทุนการผลิตและค่าขนส่งยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจกดดันให้มาร์จิ้นของผู้ส่งออกไทยลดลงได้
ทั้งนี้หากเปรียบเทียบการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2565 เป็นดวงชะตา สามารถสรุปให้เข้าใจได้ง่าย ดังนี้
-
การงาน ติดขัดน้อยลง มีผู้ใหญ่หนุนนำด้วยมาตรการภาครัฐ
-
การเงิน ค้าขายพอไปได้ เงินไม่ขาดมือ คาดมูลค่าส่งออกขยายตัว 5%
-
สุขภาพ ระวังการเจ็บป่วยและอุบัติเหตุจากการระบาดของโอไมครอน ที่อาจกระทบกำลังซื้อและการผลิต
-
ความรัก ยังหวานชื่น สินค้าไทยยังเป็นที่ต้องการ ที่สำคัญดวงความรักครั้งใหม่จะปรากฏขึ้น จากความตกลง RCEP ที่มีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 2565 ซึ่งจะดึงดูดคู่ชาวต่างชาติ และนักท่องเที่ยวกลับมาราว 5-6 ล้านคน
ชี้ปีหน้าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวแต่ช้า แนะ 4 หลักแก้ปัญหา
แม้เศรษฐกิจไทยปี 2565 จะกำลังฟื้นตัว แต่ยังขยายตัวต่ำและฟื้นตัวช้ากว่าหลายประเทศ เนื่องจากปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายมิติ ทำให้วิกฤตโควิดสร้างผลกระทบและมีบาดแผลที่ลึกกว่าประเทศคู่ค้า อาทิ ผู้ประกอบการ SMEs ของไทยมีจำนวนมาก แต่ยังมีบทบาทต่อเศรษฐกิจน้อยเพราะส่วนใหญ่ค้าขายในประเทศเป็นหลัก
ดังนั้นเศรษฐกิจไทยจะพลิกฟื้นกลับมาเติบโตได้อย่างยั่งยืน เมื่อผู้ประกอบการลุกขึ้นมาปรับหรือเปลี่ยนสินค้าและกิจการเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มตามเทรนด์ใหม่ ๆ ของโลกได้ ภายใต้บทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนา
โดยนายรักษ์ แนะนำว่าจะต้องวางรากฐานการยกระดับเศรษฐกิจไทยสู่นวัตกรรมยุคใหม่อย่างยั่งยืน ผ่านการสนับสนุนธุรกิจทุกระดับในทุกอุตสาหกรรมทุกช่วงธุรกิจตั้งแต่ “เกิด แก่ เจ็บ และตาย” ด้วยบริการครบวงจร ได้แก่
-
เกิด การบ่มเพาะความรู้และเติมทุน เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้และตั้งต้นส่งออก อาทิ บริการสินเชื่อผู้ส่งออกป้ายแดง การจัดอบรมและให้คำปรึกษาแนะนำ
-
แก่ การเสริมทุนและสร้างโอกาสทางการตลาด เพื่อส่งเสริมการขยายกิจการให้เติบโตอย่างมั่นคง อาทิ สินเชื่อเพื่อขยายกำลังการผลิต การจับคู่ธุรกิจ การจัดให้มีแพลตฟอร์มการค้า EXIM Thailand Pavilion
-
เจ็บ การช่วยเหลือเยียวยาจากผลกระทบ เมื่อเกิดวิกฤต อาทิ สินเชื่อฟื้นฟู เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงและความผันผวนด้านอัตราแลกเปลี่ยน
-
ตาย การดูแลธุรกิจที่เริ่มไปต่อได้ยากให้มีมูลค่าเพิ่ม หรือสามารถแปลงร่างกลับมาสู่เทรนด์โลกได้ อาทิ สินเชื่อ EXIM Biz Transformation Loan
‘EXIM BANK’ทุบสถิติขยายสินเชื่อ-บริการประกันสูงสุด
สำหรับ EXIM BANK เป็นธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย แม้จะเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงการระบาดของโควิดที่ผ่านมา แต่ยังสามารถขยายบทบาทการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยทั้งด้านการเงิน ครอบคลุมบริการสินเชื่อและประกันได้
โดย นายรักษ์ เปิดเผยว่า ธนาคารมียอดคงค้างสินเชื่อ ณ สิ้นเดือน พ.ย. 2564 อยู่ที่ 148,849 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปี 2564 ยอดคงค้างจะสูงถึง 152,383 ล้านบาท สูงสุดตั้งแต่เปิดดำเนินการมา 28 ปี เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 17,155 ล้านบาท หรือ 12.69%
ส่วนการให้บริการประกันการส่งออกและการลงทุน ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2564 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจสะสมบริการประกันเท่ากับ 149,148 ล้านบาท และคาดว่าสิ้นปี 2564 EXIM BANK จะสามารถเร่งทำผลงานด้านรับประกันให้แตะระดับ 150,000 ล้านบาท ถือว่าสูงสุดตั้งแต่เปิดดำเนินงาน โดยเติบโตจากปีก่อนหน้า 11.05% นับว่าเป็นธนาคารรัฐแห่งเดียวที่สามารถให้บริการได้
จากการขยายสินเชื่อและบริการประกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้ปรับตัวและดำเนินธุรกิจการค้าการลงทุนระหว่างประเทศได้อย่างยั่งยืน คาดการณ์ว่า EXIM BANK จะขยายจำนวนลูกค้าเป็น 4,845 ราย ณ สิ้นปี 2564 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 13.17%
นอกจากนี้ เพื่อช่วยเหลือกิจการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด EXIM BANK ได้ให้บริการคำปรึกษา จัดอบรม สัมมนา และจับคู่ธุรกิจออนไลน์ โดยเมื่อสิ้นเดือน พ.ย. 2564 ที่ผ่านมา ได้ช่วยเหลือทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงินแก่ผู้ประกอบการประมาณ 11,300 ราย ด้วยวงเงินรวมกว่า 70,000 ล้านบาท
นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)
เล็งออกหุ้นกู้ปี 65 หนุนผู้ประกอบการไทยสู้โควิด
ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่และสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ EXIM BANK ติดตามความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้สิ้นเดือน พ.ย. 2564 มีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) อยู่ที่ 3.68%
อย่างไรก็ตาม นายรักษ์ คาดว่าภายในสิ้นปี 2564 ธนาคารจะสามารถบริหารจัดการให้ NPL Ratio ลดลงมาอยู่ที่ 2.68% ซึ่งลดลงถึง 1.13% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน และต่ำที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ทั้งนี้จากการขยายธุรกิจอย่างก้าวกระโดด ประกอบกับการบริหารจัดการภายในองค์กร คาดว่าภายในสิ้นปีนนี้จะสามารถทำกำไรสุทธิได้สูงถึง 1,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 211.96% เมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งขาดทุนกว่าพันล้านบาท ถือเป็นกำไรสุทธิที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี
นอกจากนี้ เพื่อขยายบทบาทสนับสนุนผู้ประกอบการได้อย่างต่อเนื่อง EXIM BANK ยังได้รับอนุมัติเงินเพิ่มทุนจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จำนวน 4,198 ล้านบาท นับเป็นการเพิ่มทุนครั้งแรกในรอบ 12 ปี โดยแบ่งจ่ายงวดที่ 1 จำนวน 2,198 ล้านบาท ซึ่ง EXIM BANK ได้รับเรียบร้อยแล้วในเดือน พ.ย. 2564 และงวดที่ 2 อีกจำนวน 2,000 ล้านบาท ภายในปี 2565
การได้รับทุนเปรียบเสมือนการเติมน้ำมันให้ EXIM BANK เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถทำการค้าการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ตลาดเป้าหมายในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมียนมา และเวียดนาม) และตลาดใหม่ (New Frontiers) ที่มีศักยภาพได้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เตรียมแผนออกหุ้นกู้ล็อตใหม่ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาวงเงินและรายละเอียด
“ปี 2564 เป็นก้าวแรกของ EXIM BANK ที่ได้พลิกโฉมและยกระดับองค์กรสู่การเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการองค์กรอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและยั่งยืน ท่ามกลางปัจจัยท้าทายต่าง ๆ นำมาซึ่งโอกาสใหม่ ๆ ของภาคธุรกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทยและโลกโดยรวม” นายรักษ์ กล่าว