"...ประชาชนคืออะไร ไม่รู้จัก รู้แต่ว่าต้องได้หัวคะแนนคนนั้นคนนี้มาร่วม ต้องจ่ายเท่าไหร่ ต้องเคาะกะลาเรียกเงินจากโครงการนั้นนี้เท่าไหร่ ถึงจะอนุมัติ ต้องออกนโยบายเอื้อประโยชน์นายทุนยักษ์อย่างไร … แล้วจึงจะมีเงินเอามาซื้อเสียงเลี้ยงดูหัวคะแนนได้อีก ส่วนพรรคพวกที่เข้ามาจะมีประวัติเลวทราม หรือคดโกงอย่างไร ไม่ใช่ประเด็น ขอเพียงได้เป็นรัฐบาลเท่านั้นก็พอ..."
หลังจากคณะราษฎร์ยึดอำนาจจากกษัตริย์แล้วเข้ามาบริหารบ้านเมืองในแบบที่เขาเรียกว่าประชาธิปไตย คนไทยก็ได้ประสบการณ์ทั้งเลวและดีจากชนชั้นปกครองมาตลอด 89 ปี ภายใต้ประชาธิปไตยเต็มใบ ครึ่งใบ และเผด็จการ แล้วแต่แต่ละช่วง
สิ่งที่ไม่ต่างกันก็คือทุกยุคสำหรับชนชั้นปกครองเป็นเรื่องของการสะสมเงิน สั่งสมอำนาจ ผ่านการคอร์รัปชั่น และสนอง need กับ greed ของนักธุรกิจที่มีเงิน (ทั้งพวกใต้ดินและบนดิน) โดยส่วนหนึ่งก็เอาไว้สร้างฐานเสียง และอีกส่วนก็เก็บเอาไว้ให้ตนเอง (บางคนก็เอาไปซุกไว้นอกประเทศที่สามารถเลี่ยงภาษีและตรวจสอบได้ยาก ทั้งๆ ที่ปากบอกให้รักชาติ)
แต่หลังจากคุณทักษิณ ชินวัตร เข้ามามีอำนาจในการบริหารประเทศในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วต่อมาก็ถูกยึดอำนาจโดยกองทัพ ต้องคดีที่ใช้อำนาจนายกฯ ไปเอื้อประโยชน์ให้ตนผ่านการออกนโยบายบางเรื่อง จนถึงขั้นต้องโทษจำคุก แต่ก็หนีออกไปอยู่นอกประเทศจนป่านนี้ก็ยังไม่ได้กลับมาแผ่นดินแม่ … สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ “การเมืองกลายเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องเพื่อส่วนรวม” ไปเสียแล้ว
ประชาชนคืออะไร ไม่รู้จัก รู้แต่ว่าต้องได้หัวคะแนนคนนั้นคนนี้มาร่วม ต้องจ่ายเท่าไหร่ ต้องเคาะกะลาเรียกเงินจากโครงการนั้นนี้เท่าไหร่ ถึงจะอนุมัติ ต้องออกนโยบายเอื้อประโยชน์นายทุนยักษ์อย่างไร … แล้วจึงจะมีเงินเอามาซื้อเสียงเลี้ยงดูหัวคะแนนได้อีก ส่วนพรรคพวกที่เข้ามาจะมีประวัติเลวทราม หรือคดโกงอย่างไร ไม่ใช่ประเด็น ขอเพียงได้เป็นรัฐบาลเท่านั้นก็พอ และถ้ามีข้อผิดพลาดอะไรเกิดแก่พรรคพวกก็สามารถใช้เส้นสายเครือข่ายเป่าให้หายเพี้ยงงงงงง ได้ง่ายๆ … เป็นแบบนี้ไปหมดเลย ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งงไหน
เมื่อพิจารณาดูแล้วจึงเห็นเป้าหมายทางการเมืองของกลุ่มผู้เล่นหลักๆ (ไม่ได้แบ่งตามพรรคการเมือง แต่แบ่งตามพฤติกรรมเฉพาะตน) ในวันนี้ก็คือ …
กลุ่มแรก …
นำคุณทักษิณกลับมาอย่างเท่ๆ โดยไม่ต้องรับผิดตามที่ต้องโทษไปแล้ว (บางคนเก่งและดีพอจริงๆ แต่บางคนแค่เลียแผล่บๆ)
กลุ่มสอง …
ยื้อยึดอำนาจไว้ให้นานที่สุด เพื่อมิให้กลุ่มแรกกลับมามีอำนาจเป็นรัฐบาล (อาจจะใช้อำนาจในมือปกป้องพวกพ้องและทำลายคู่ต่อสู้ได้ทุกวิธีการเพื่อเตะตัดขา ถ้าจำเป็น อันนี้ก็แย่มาก)
กลุ่มที่สาม …
อะไรไม่ว่า ขอยิงทะลุฟ้า (บางคนก็เพื่อเงิน เพื่อความดัง แต่บางคนก็ด้วยอุดมคติที่แท้จริงซึ่งจะไม่ว่ากัน และบางคนก็ด้วยความแค้นฝังหุ่น)
กลุ่มที่สี่ …
ต้องการบ้านเมืองที่ดีขึ้น ไม่ติดกับดักวงจรอุบาทว์ โดยจะประสานประโยชน์ของกลุ่มคนที่คิดต่างกันด้วยเป้าหมายเพื่อส่วนรวม (อยากให้มีคนในกลุ่มนี้เกิดขึ้นมากๆ)
ข้าพเจ้าออกตัวได้เลยว่าเอากลุ่มหลังนี่แหละ และคนในกลุ่ม 4 นี้หากเลือกตั้งใหม่คงจะได้เข้าสภาบางส่วน ยังไม่แลนด์สไลด์ 5555555 … แต่ถ้ามีโอกาสแล้วจะยืนข้างกลุ่มไหนก็ต้องเลือกให้ดี เพื่อมิให้การก่อตัวสร้างพลังร่วมต้องสะดุดลง
ก็ไม่รู้ว่าจะตายก่อนได้เห็นคนกลุ่ม 4 ลุกขึ้นมาทำการเมืองน้ำดีได้สำเร็จหรือไม่
วรวรรณ ธาราภูมิ
ราษฎรเต็มขั้น
29 ตุลาคม 2564