"...ผมคิดว่าน่าจะสรุปได้ว่า วัคซีนไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาด ที่ทำให้การระบาดในจีนและอเมริกาแตกต่างกันมากขนาดนี้ ความแตกต่างจึงอยู่ที่ มาตรการอื่น ๆ นอกเหนือจากวัคซีน ตั้งแต่การจัดการระบบการตรวจคัดกรอง แยกผู้ติดเชื้อรายใหม่ การจัดและปฏิบัติตามระเบียบสังคม การปฏิบัติตามล็อคดาวน์ วินัยของประชาชนในการรักษาระยะห่าง การใส่หน้ากากอนามัย ฯลฯ ซึ่งประชาชนต้องมีวินัยปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการระบาดและป้องกันตัวเองอย่างเคร่งครัด..."
.............................................
เมื่อคืนนี้ดูทีวี หมออาวุโสด้านโรคติดเชื้อท่านหนึ่ง บอกว่า โควิด-19 ไทยมีแนวโน้มว่าจะถึงพีค ถ้า …
ขณะที่หมออาวุโสโรคปอดท่านหนึ่ง บอกว่า สถานการณ์จะแย่ลงอีกถ้า …
ผมจึงเข้าไปดูสถานการณ์โควิด-19 ของอเมริกา และจีน วันที่ 18 สิงหาคม แล้วมาคิดต่อว่า ไทยเราน่าจะไปทางไหน ที่เลือกอเมริกากับจีน เพราะมีสถิติการฉีดวัคซีน (อาวุธสำคัญที่สุดในการควบคุมการระบาด) ที่ใกล้เคียงกัน อเมริกาฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม 50.9% จีน 55.9% ของประชากร
อัตราการได้รับวัคซีนต่อประชากร 100 คนใกล้เคียงกัน คือ อเมริกา 55.9 จีน 67 ความแตกต่างคืออเมริกาใช้วัคซีน mRNA ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีใหม่ ส่วนจีนใช้เทคโนโลยีเก่าที่ทำจากเชื้อไวรัสที่ตายแล้ว
ทีนี้มาดูตัวเลขผู้ป่วยใหม่วันที่ 18 สิงหาคม จีน 42 ราย อเมริกา 137,307 ราย ขณะที่จีน ไม่มีคนตาย ส่วนอเมริกาตาย 873 ราย ซึ่งผู้ติดเชื้อรายใหม่ และที่ตายของอเมริกา ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
จะเห็นว่า จีนกับอเมริกา มีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ กับ จำนวนคนที่ตายจากโควิด-19 แตกต่างกันมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่อัตราการฉีดวัคซีนใกล้เคียงกัน
คำถามคือ อะไรคือความแตกต่าง
ผมคิดว่าน่าจะสรุปได้ว่า วัคซีนไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาด ที่ทำให้การระบาดในจีนและอเมริกาแตกต่างกันมากขนาดนี้ ความแตกต่างจึงอยู่ที่ มาตรการอื่น ๆ นอกเหนือจากวัคซีน ตั้งแต่การจัดการระบบการตรวจคัดกรอง แยกผู้ติดเชื้อรายใหม่ การจัดและปฏิบัติตามระเบียบสังคม การปฏิบัติตามล็อคดาวน์ วินัยของประชาชนในการรักษาระยะห่าง การใส่หน้ากากอนามัย ฯลฯ ซึ่งประชาชนต้องมีวินัยปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการระบาดและป้องกันตัวเองอย่างเคร่งครัด
หันมาดูประเทศไทย ด้านวัคซีน เราฉีดได้ครบ 2 เข็ม เพียง 7.5% ของประชากร แสดงว่าเรายังมีประชากรที่พร้อมจะติดเชื้อ ป่วยและตายจากโควิด 19 เป็นจำนวนมาก ขณะที่ตัวเลขผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ที่อยู่ที่วันละ 2 หมื่นกว่าคนต่อเนื่องมาหลายอาทิตย์ แสดงว่ามาตรการอื่นในการควบคุมการระบาดนอกเหนือจากการฉีดวัคซีน เราก็ทำได้ไม่ดี
ความเห็นของผม โควิด-19 ของประเทศไทย จะพีคเมื่อไหร่ เป็นเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญจะว่ากันไป
แต่สิ่งที่เห็นคือสังคมโดยรวม จะให้ความสนใจกับเรื่องวัคซีนเป็นหลัก ทั้งที่ถ้าดูอัตราจำนวนวัคซีนที่คนไทยได้รับการฉีดไปแล้ว และจำนวนวัคซีนที่จะได้รับในอนาคต เรายังมีปัญหาของระบบ ความมีวินัยของคนไทย และมาตรการอื่น ๆ หากจะทำให้การระบาดของโควิด-19 ในประเทศลดลง นอกจากเราต้องได้วัคซีนมากและเร็วกว่านี้แล้ว ภาครัฐต้องปิดจุดอ่อนด้านการบริหารจัดการมาตรการอื่น ๆ
ที่สำคัญประชาชนทุกคนต้องให้ความสำคัญกับมาตรการทางสังคมที่จะส่งผลต่อการควบคุมการระบาด นั่นคือ รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ไม่ทำลายสุขภาพด้วยการ กินเหล้า สูบบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า ออกกำลังกายทุกวัน ทานอาหารครบหมู่ และรักษาระเบียบวินัยในการป้องกันโควิด-19 อย่างจริงจัง ซึ่งทุกวันนี้เรื่องใส่หน้ากากส่วนใหญ่ยังเห็นใส่กันอยู่ แต่เรื่องรักษาระยะห่าง ผมเห็นว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจกันเท่าที่ควร ส่วนเรื่องการล้างมือผมไม่มีข้อมูล
มิฉะนั้นแล้ว ถึงแม้เที่ยวนี้เราจะกดพีคลงมาได้ เราก็ยังมีความเสี่ยงมากที่จะเกิดการระบาดระลอกใหม่ต่อไป จนกว่าคนไทยเกือบทุกคนจะมีภูมิคุ้มกันโควิด-19 จากการฉีดวัคซีนหรือจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ