"...อัยการจึงต้องเป็นหลักชัยแห่งความหวังที่ตั้งมั่นบนฐานความซื่อสัตย์ เที่ยงธรรม เมื่อสามารถกลืนศักดิ์ศรี แห่งสถาบันได้ ก็ไม่ต่างจากเสาหลักปักขี้เลนที่ไม่นานก็อาจจะล้มจมหายไปในขี้เลน … เราจะยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยหรือ?..."
...............................................
“ฤ จะเป็นเสาหลักปักขี้เลน”
เป็นเรื่องอันตรายและน่าเศร้าสลดมากต่ออนาคตของบ้านเมือง หากสำนักงานอัยการสูงสุดไม่ดำรงอยู่เป็น เสาหลักความยุติธรรมที่มั่นคงยืนหยัดให้ประชาชน แต่กลับโอนเอนเป็นเสาหลักปักขี้เลนเพราะพวกพ้อง และผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงถึงหลักการและเกียรติยศ จากกรณีการผลักดันแต่งตั้งอัยการระดับสูงขึ้นเป็น “ผู้ตรวจการอัยการ” ทั้งๆ ที่ถูกดำเนินคดีอาญาเพราะขับรถยนต์ในขณะมึนเมาแล้วชนผู้อื่น แต่เรื่องการแต่งตั้งยังไม่แล้วเสร็จเพราะยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ล่าสุดเมื่อ 2 สิงหาคม 2564 อัยการสูงสุดได้มีจดหมายถึงเลขาธิการ ครม. ให้กราบบังคมทูลฯ อีกครั้ง โดยให้การแต่งตั้ง มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เงื่อนไขนี้จะส่งผลให้ได้รับการแต่งตั้งเป็น “รองอัยการสูงสุด” ในเดือนกันยายนนี้
ความโปร่งใสที่ไม่เป็นธรรม คือ ความกล้าที่หยามเกียรติยิ่งกว่า!
เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2562 อัยการระดับสูงท่านนี้ได้ขับรถยนต์ในขณะมึนเมาเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์และไม่หยุดลงมาช่วยเหลือ แต่มีชาวบ้านขับรถติดตามไปทัน ตำรวจตั้งข้อหาขับขี่รถขณะเมาสุราหรือของมึนเมาเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับอันตรายแก่กายจิตใจ ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน ขับรถเฉี่ยวชนแล้วหลบหนี และกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย ต่อมาพนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี ยื่นฟ้องเฉพาะความผิดฐานขับรถในขณะเมาสุรา โดยสั่งไม่ฟ้องข้อหาชนเเล้วหนี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 จึงทำความเห็นแย้ง แต่อัยการสูงสุดชี้ขาดยืนตามอัยการจังหวัด จำเลยรับสารภาพ ศาลพิพากษาให้จำคุก 2 ปี แต่รอลงอาญาและให้ คุมประพฤติ 1 ปีโดยต้องไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 ครั้ง (ยังไม่มีข้อมูลว่ากรณีนี้ได้รับประโยชน์จาก พรฎ. พระราชทานอภัยโทษฯ เมื่อ 28 กรกฎาคม 2564 ด้วยหรือไม่) อัยการไม่ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา ขณะที่ทาง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 มีความเห็นแย้งให้ยื่นอุทธรณ์คดีขอให้ลงโทษสถานหนัก สุดท้ายอัยการสูงสุดชี้ขาด ไม่อุทธรณ์คดีจึงยุติ
เลือกปฏิบัติ หรือ ยุติธรรม? คุณธรรม อยู่ที่ไหน?
ผลจากคดีที่ฟ้องร้อง อัยการท่านนี้ยังถูกลงโทษทางวินัยให้ว่ากล่าวตักเตือน ซึ่งฟังดูธรรมดามากที่ทำผิดแล้วโดนว่ากล่าวตักเตือน แต่มันเบามากเมื่อเทียบกับกรณีอัยการเมาแล้วกร่างให้ตำรวจพาไปร้านลาบ เมื่อปี 2560 กรณีนี้ไม่มีความผิดอาญาไม่ได้ถูกศาลพิพากษา ต้องถูกลงโทษไม่เลื่อนตำแหน่งนาน 2 ปี เพราะถือว่าทำผิดวินัยฐานกระทำการที่อาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ค. 2553 มาตรา 64 ประกอบมาตรา 74
อย่างนี้ ยึดหลักเท่าเทียมหรือเลือกปฏิบัติ!
ทำให้มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องนี้เกี่ยวอะไรหรือไม่กับการที่อัยการอาวุโสท่านนี้เป็นหนึ่งในคณะทำงานตรวจสอบกรณีอดีตรองอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องคดีบอสกระทิงแดง
รัฐธรรมนูญมาตรา 76 และแผนปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ วางหลักให้การแต่งตั้งข้าราชการยุคใหม่ต้องยึดถือหลักระบบคุณธรรม หากองค์กรใดฝืนแต่งตั้งบุคคลที่มีมลทินมัวหมองเป็นผู้บริหารระดับสูง ย่อมเท่ากับสร้างบรรทัดฐานขึ้นมาใหม่ แล้วสังคมจะยอมรับและศรัทธาผู้บริหารและองค์กรนั้นได้อย่างไร
จึงเกิดคำถามว่า ผู้ใหญ่ในสำนักงานอัยการสูงสุดกำลังคิดอะไร มีเบื้องหลังหรือไม่? และต้องถามอัยการ ทั่วประเทศว่า ท่านพร้อมแล้วที่จะเห็นภาพและบอกกับสังคมว่า คนที่ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมความประพฤติเพราะข้อหาเมาแล้วขับรถชนผู้อื่นแล้วหนีคือ … ผู้บังคับบัญชาของท่าน! ท่านพร้อมแล้วใช่ไหมที่จะบอกกับทุกคนว่า ความผิดเช่นนี้สำหรับผู้ใหญ่ถือเป็นความผิดเล็กน้อย แต่หากเกิดขึ้นกับคนทั่วไปจะตัดสินว่าโทษมหันต์น่าอับอาย
เมื่อเสาหลักปักอยู่ในขี้เลน … สังคมจะพึ่งพาเสาได้หรือ?
“อัยการ” คือเสาหลักในการปกป้องผลประโยชน์ของแผ่นดิน เป็นที่พึ่งพิงของประชาชนเมื่อเกิดคดีความ จึงต้องชัดเจนในความถูกต้องตรงไปตรงมา ต้องประพฤติตนด้วยมาตรฐานคุณธรรมจริยธรรมขั้นสูง ยิ่งผู้บริหารระดับสูงที่มีอำนาจสั่งการเพื่ออำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ยิ่งต้องปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อให้เกิดการยอมรับศรัทธาต่อการปฏิบัติหน้าที่และวิชาชีพ
ทุกวันนี้คอร์รัปชันในภาครัฐไม่ลดลง เพราะการเห็นแก่พวกพ้องในทางที่ผิด คอยช่วยเหลือและอุปถัมภ์เกื้อกูลกัน ถ้าเป็นการกระทำของคนในองค์กรอัยการและศาล ความเสื่อมเกียรติเสียศักดิ์ศรีที่เกิดขึ้นจะทำลายความเชื่อมั่น ของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมของชาติ
อัยการจึงต้องเป็นหลักชัยแห่งความหวังที่ตั้งมั่นบนฐานความซื่อสัตย์ เที่ยงธรรม เมื่อสามารถกลืนศักดิ์ศรี แห่งสถาบันได้ ก็ไม่ต่างจากเสาหลักปักขี้เลนที่ไม่นานก็อาจจะล้มจมหายไปในขี้เลน … เราจะยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยหรือ?