"100 มหาวิทยาลัย 1 ล้านนิสิต ขุมกำลังปัญญาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ประเทศไทยมีสถาบันอุดมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนกว่า 100 แห่ง มีนิสิตนักศึกษารวมกันกว่า 1 ล้านคน มีคณาจารย์นักวิชาการหลายแสนคน เป็นขุมกำลังทางปัญญาที่ใหญ่ที่สุด ทำอย่างไรขุมกำลัง 100 มหาวิทยาลัย จะเป็นพลังทางปัญญาพาชาติออกจากวิกฤต เป็นประเด็นเร่งด่วนที่ต้องตีโจทย์ให้แตกและลงมือปฏิบัติโดยเร็ว"
............................
1) การเมืองตกสภาวะ “Locked in”
การเมืองตกสภาพเขยื้อนก็ไม่ได้ สมรรถนะในการแก้วิกฤตก็ไม่มี สภาพ “Locked in” เกิดจากโครงสร้างอำนาจแบบที่มีมาในประวัติศาสตร์เป็นพันๆ ปี ที่เขาเรียกว่า The Power that be บ้าง The Establishment ที่ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ
1. ชนชั้นสูง หรือผู้ดีเก่า
2. กองทัพ
3. พ่อค้า หรือนายทุนบางส่วน
โครงสร้างอำนาจสามเส้านี้ กำหนดผู้บริหารประเทศ ต่อต้านคนรุ่นใหม่ และการเปลี่ยนแปลง เป็นโครงสร้างที่ขัดแย้งกับธรรมชาติความเป็นจริง คือ คนรุ่นใหม่ต้องเข้ามาแทนที่คนรุ่นเก่า และเก่าจะต้องเปลี่ยนเป็นใหม่ ตามธรรมชาติของความเป็นอนิจจัง
เมื่อโครงสร้างอำนาจทำให้เปลี่ยนไม่ได้ แต่ตัวเองก็ทำงานไม่ได้ผล นำไปสู่ความระส่ำระสาย ปั่นป่วน รุนแรง เช่นนี้เสมอมาในประวัติศาสตร์จีนอันยาวนาน
การเมืองไทยในปัจจุบันก็ตกอยู่ในสภาพล็อคอินเพราะเหตุดังกล่าว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ก็ทำงานไม่ได้ผล ความระส่ำระสายและความรุนแรงจะตามมาถ้าปลดล็อคไม่ได้
2) 100 มหาวิทยาลัย 1 ล้านนิสิต ขุมกำลังปัญญาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
ประเทศไทยมีสถาบันอุดมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนกว่า 100 แห่ง มีนิสิตนักศึกษารวมกันกว่า 1 ล้านคน มีคณาจารย์นักวิชาการหลายแสนคน เป็นขุมกำลังทางปัญญาที่ใหญ่ที่สุด ทำอย่างไรขุมกำลัง 100 มหาวิทยาลัย จะเป็นพลังทางปัญญาพาชาติออกจากวิกฤต เป็นประเด็นเร่งด่วนที่ต้องตีโจทย์ให้แตกและลงมือปฏิบัติโดยเร็ว
3) สาเหตุใหญ่ 2 ประการ ที่มหาวิทยาลัยไม่เป็นพลังทางปัญญาพาชาติออกจากวิกฤต
มีสาเหตุใหญ่ 2 ประการคือ
1. มหาวิทยาลัยมุ่งสอนแต่ไม่ลงมือทำ ผลคือบัณฑิตตกงาน และบัณฑิตที่ทำไม่เป็น กลายเป็นภาระของประเทศ อย่างที่พูดกันว่าแทนที่จะเป็นแบตเตอรี่กลับเป็นตุ้มถ่วงหรือ load
2. มหาวิทยาลัยขาดสมรรถนะในการคิดเชิงระบบและการจัดการ ได้แต่คิดเชิงพฤติกรรมส่วนบุคคล และคิดเชิงเทคนิค จึงได้แต่ทำอะไรเล็กๆ ไปตามเทคนิคที่แต่ละคนมี ที่เรียกว่า Technic – driven ไม่สามารถทำประโยชน์ใหญ่ได้ และทะเลาะกันสูง เพราะคิดเชิงพฤติกรรมส่วนบุคคลจึงขาดพลังสร้างสรรค์
เพราะเหตุใหญ่ 2 ประการนี้ มหาวิทยาลัยจึงไม่สามารถเป็นหัวรถจักรทางปัญญาพาชาติออกจากวิกฤต แม้ 100 มหาวิทยาลัย 1 ล้านนิสิต จะเป็นขุมกำลังทางปัญญาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
4) 3 นโยบายเร่งด่วนที่กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ควรทำ
1. หลักสูตรการเรียนรู้ในฐานการทำงาน (Work - Based Learning) เพื่อสร้างคนไทยที่ทำเป็น คิดเป็น จัดการเป็น และเป็นพลังทางเศรษฐกิจ หลักสูตรต่างๆ ทุกระดับ ควรเปลี่ยนฐานการเรียนรู้จาก “ท่อง” เป็น “ทำ” นั่นคือเรียนรู้จากการทำงาน หรือ WBL หรือ สหกิจศึกษา ให้มากที่สุด ที่จะไม่เกิดปัญหาบัณฑิตตกงาน / บัณฑิตทำงานไม่เป็น เพราะเรียนรู้ในฐานการทำงาน ซึ่งมีรายได้ตั้งแต่ยังเรียน และไม่มีการตกงานเพราะสามารถปรับตัวไปกับการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
การเรียนรู้ในฐานการทำงานยังสร้างพฤติกรรมที่ดีเพราะมีแรงจูงใจ กล่าวคือ ใครขยันและรับผิดชอบจะมีรายได้มากขึ้น ใครหาความรู้เพิ่มเติมที่ทำงานให้ดีขึ้นจะมีรายได้มากขึ้น สถานศึกษาก็ต้องขวนขวายหาความรู้ที่ตรงกันที่จะทำให้งานได้ผลดีขึ้น สถานศึกษาก็จะมีรายได้มากขึ้น เศรษฐกิจก็จะดีขึ้นจึงเห็นว่า WBL เป็นจุดคานงัดที่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
2. มหาวิทยาลัยกับการทำงานในพื้นที่ 1 มหาวิทยาลัย : 1 จังหวัด ประเทศไทยมี 77 จังหวัดก็ใกล้เคียงกับจำนวนมหาวิทยาลัย แต่ละจังหวัดควรมีมหาวิทยาลัยอย่างน้อย 1 แห่ง ที่ร่วมพัฒนาจังหวัดอย่างบูรณาการโดยเอาชุมชนท้องถิ่นเป็นตัวตั้ง ในการนี้จะปรับมหาวิทยาลัย จากการ “ท่อง” เป็นการ “ทำ” พร้อมๆ กับสร้างสมรรถนะในการคิดเชิงระบบและการจัดการ ชุมชนท้องถิ่นเป็นฐานของประเทศ ถ้าฐานของประเทศแข็งแรงก็จะรองรับประเทศทั้งหมดให้มั่นคง การที่มหาวิทยาลัยไปทำงานกับพื้นที่จะทำลายอุปสรรคที่ขวางกั้นการพัฒนาประเทศ อุปสรรคที่ว่านั้นคือ การที่คนไทยไม่รู้ความจริงของประเทศไทย เพราะระบบการศึกษาที่เอาตำราเป็นตัวตั้งไม่ได้เอาความจริง หรือเอาชีวิตจริงปฏิบัติจริงของคนฐานล่างเป็นตัวตั้ง ทำให้ชนชั้นนำไม่รู้จักสังคมข้างล่างทำให้ทำอะไรไม่ถูก วิกฤตโควิดคราวนี้แสดงประเด็นนี้ให้เห็นอย่างชัดเจน 1 มหาวิทยาลัย 1 จังหวัด จึงเป็นจุดคานงัดที่ส่งผลกว้างลึกยาวไกลต่อประเทศไทย
3. ฝึกอบรมรองอธิการบดี และผู้ช่วยอธิการบดีที่มีทั้งหมดประมาณ 2,500 คน ให้เป็นนักขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ นโยบายสาธารณะเป็นปัญญาสูงสุดของชาติใดชาติหนึ่ง เพราะมีผลต่อทุกองคาพยพของประเทศทั้งทางดีหรือทางร้าย การที่ประเทศไทยทำอะไรไม่สำเร็จเพราะขาดการขับเคลื่อนนโยบายอย่างเป็นระบบครบวงจร เพราะประเทศขาดสมรรถนะการคิดเชิงระบบและการจัดการ รวมทั้งในวงการมหาวิทยาลัยด้วย หากมีการขับเคลื่อนระบบนโยบายครบ 12 ขั้นตอน ไม่มีทางไม่สำเร็จ ถึงเป็นเรื่องยากอย่างไรก็สำเร็จ ซึ่งเรียกกระบวนการนี้ว่า สัมฤทธิศาสตร์
มหาวิทยาลัยหนึ่งๆ มีรองอธิการบดีและผู้ช่วยอธิการบดี ประมาณ 20 – 30 คน รวมทั้งประเทศคงมีประมาณ 2,500 คน ถ้ากองทัพรองอธิการบดีและผู้ช่วยอธิการบดี 2,500 คนนี้ ได้รับการอบรมให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการขับเคลื่อนระบบนโยบายสาธารณะครบวงจร หรือสัมฤทธิศาสตร์ กองทัพนักสัมฤทธิศาสตร์ 2,500 คนนี้จะเป็นกำลังมหาศาลที่ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การลงตัว เพราะเมื่อนโยบายสาธารณะที่สำคัญๆ ประสบผลสำเร็จประเทศไทยก็จะหลุดจากสภาวะวิกฤตเรื้อรังที่เป็นมาเกือบ 100 ปี และยกระดับไปสู่ความเจริญอย่างแท้จริง
หวังว่ากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม จะเห็นความสำคัญอย่างยิ่งยวดของนโยบายทั้ง 3 และถือเป็นโอกาสที่จะทำให้ขุมกำลังทางปัญญาของอุดมศึกษากลายเป็นหัวรถจักรทางปัญญาพาชาติออกจากวิกฤต เรื่องนี้ไม่ยากนักที่จะเข้าใจและขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จ โดยเฉพาะทั้งรัฐมนตรี และปลัดกระทรวง อว. ในปัจจุบันก็เป็นคนเก่ง และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างยาวไกลทั้งคู่
_____________________________________________
หมายเหตุ : ดู บทความทางออกจากความตีบตันทางการเมือง คือ P4 “กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม”(Participatory Public Policy Process) และหนังสือ คู่มือขับเคลื่อนระบบนโยบายครบวงจร 12 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ (คู่มือสัมฤทธิศาสตร์พาชาติออกจากวิกฤต)