
“…จากการประมาณการ พบว่า งบประมาณดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายยังคงเพิ่มสูงขึ้น คือ การปรับฐานเงินเดือนและค่าตอบแทนของกำลังพล ซึ่งเป็นภาระผูกพันที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ประกอบกับมีภาระด้านบำนาญและสิทธิประโยชน์ในระยะยาวที่ต้องรองรับ ดังนั้น การดำเนินนโยบายปรับลดกำลังพล สามารถช่วยแบ่งเบาภาระงบประมาณด้านบุคลากรได้เพียงบางส่วนเท่านั้น…”
.......................................
เมื่อเร็วๆนี้ สำนักงบประมาณ ได้เผยแพร่รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์จากการใช้จ่ายงบประมาณโครงการสำคัญ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 กรณีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ด้านการปรับโครงสร้างอัตรากำลังให้เหมาะสมกับยุคสมัยของกระทรวงกลาโหม
อย่างไรก็ดี ในการเผยแพร่รายงานฯ สำนักงบประมาณไม่ได้เผยแพร่รายงานฉบับเต็ม โดยเผยแพร่เฉพาะในส่วน ‘บทสรุปสำหรับผู้บริหาร’ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอสรุปภาพรวมการติดตามและประเมินผลด้านการปรับโครงสร้างอัตรากำลังให้เหมาะสมกับยุคสมัยของกระทรวงกลาโหม ในส่วนบทสรุปสำหรับผู้บริหาร ดังนี้
@ก.กลาโหม‘ปฏิรูปกองทัพ’หลัง‘งบบุคลากร’มีสัดส่วน 50%
รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้น เพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลด้านการปรับโครงสร้างอัตรากำลังให้เหมาะสมกับยุคสมัยของกระทรวงกลาโหม ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ.2563-2568 ภายใต้กรอบการประเมินขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) จำนวน 6 ด้าน
ได้แก่ ความสอดคล้อง (Relevance) ความเชื่อมโยง (Coherence) ประสิทธิภาพ (Efficiency) ประสิทธิผล (Effectiveness) ผลกระทบ (Impact) ความยังยืน (Sustainability) พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งปัจจัยเสี่ยง ปัญหา/อุปสรรคและข้อเสนอแนะ
ตลอดจนการประมาณการงบประมาณด้านบุคลากรและอัตรากำลังพลังพลของกระทรวงกลาโหม ในช่วงระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า (ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2569-2573)
กระทรวงกลาโหมได้ดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลด้านการปรับโครงสร้างอัตรากำลังให้เหมาะสมกับยุคสมัย โดยการ “ปฏิรูปกองทัพ” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อลดขนาดกำลังพลให้มีขนาดที่เหมาะสมกับภารกิจ กองทัพมีความทันสมัย สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามได้ทุกสถานการณ์
และช่วยลดภาระงบประมาณด้านบุคลากรของกระทรวงกลาโหม ที่ปัจจุบันกว่าร้อยละ 50 ถูกใช้ไปกับแผนงานด้านบุคลากร ในขณะที่สัดส่วนงบลงทุนและการพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีลดลงอย่างต่อเนื่อง ผ่านการดำเนินการที่สำคัญประกอบด้วย 1) โครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดของกระทรวงกลาโหม
2) การปรับลดกำลังพลนายทหารชั้นยศสูง ในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ผู้ทรงคุณวุฒิ และนายทหารปฏิบัติการ ร้อยละ 50 ภายในปีงบประมาณ พ.ศ.2571 3) การปรับลดกำลังพลในภาพรวม ร้อยละ 5 (นายทหารสัญญาบัตร นายทหารประทวน และพลอาสาสมัคร)
4) กำหนดสัดส่วนการรับทหารอาสาเข้าปฏิบัติหน้าที่ทดแทนข้าราชการทหารประจำการ 5) ปรับลดกำลังพลในตำแหน่งประจำหน่วย ไม่ให้เกินร้อยละ 5 ของจำนวนกำลังพลบรรจุจริง 6) บรรจุข้าราชการพลเรือนกลาโหมทดแทนข้าราชการทหาร
@ค่าใช้จ่าย‘บุคลากร’แนวโน้มเพิ่ม แม้มีนโยบายปรับลด‘กำลังพล’
การประมาณการงบประมาณด้านบุคลากรและอัตรากำลังพลของกระทรวงกลาโหมในช่วงระยะเวลา 5 ปีข้างหน้ามีข้อจำกัดด้านข้อมูล ส่งผลให้ไม่สามารถนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประกอบการประมาณการได้อย่างครบถ้วน คณะผู้จัดทำจึงใช้การประมาณการด้วย Exponential Triple Smoothing (ETS) เนื่องจากการประมาณการด้วยวิธีดังกล่าว สามารถจัดการกับชุดข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่การวิเคราะห์ตามกรอบแนวคิดของ OECD จำนวน 6 ด้าน คณะผู้จัดทำใช้วิธีการประเมินแบบผสมผสาน ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ผ่านการรวบรวมและวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้อง และการจัดทำแบบสอบถาม โดยกลุ่มเป้าหมายในการจัดเก็บข้อมูล คือ บุคลากรในสังกัดกระทรวงกลาโหม
ทั้งนี้ ตัวชี้วัดที่ใช้ประกอบด้วย ตัวชี้วัดเชิงปริมาณและตัวชี้วัดเชิงคุณภาพ ซึ่งจะนำไปวิเคราะห์และกำหนดคะแนนในระดับ 1-5 เพื่อประเมินความสำเร็จของโครงการในแต่ละด้านตามหลักเกณฑ์ของ OECD โดยมีผลการประเมินดังต่อไปนี้
1.การประมาณการ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่ งบประมาณด้านบุคลากร และอัตรากำลังพล
1.1 งบประมาณด้านบุคลากร จากการประมาณการ พบว่า งบประมาณดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายยังคงเพิ่มสูงขึ้น คือ การปรับฐานเงินเดือนและค่าตอบแทนของกำลังพล ซึ่งเป็นภาระผูกพันที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ประกอบกับมีภาระด้านบำนาญและสิทธิประโยชน์ในระยะยาวที่ต้องรองรับ
ดังนั้น การดำเนินนโยบายปรับลดกำลังพล สามารถช่วยแบ่งเบาภาระงบประมาณด้านบุคลากรได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
1.2 อัตรากำลังพล จากการประมาณการ พบว่า อัตรากำลังพลมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจากผลการประมาณการสะท้อนให้เห็นว่า แนวโน้มที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ด้านการปรับโครงสร้างอัตรากำลังให้เหมาะสมกับยุคสมัยของกระทรวงกลาโหม ที่มุ่งเน้นการปรับโครงสร้างอัตรากำลังพลให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการที่แท้จริงในปัจจุบันและอนาคต
2.ผลการประเมินตามกรอบ OECD จำนวน 6 ด้าน
2.1 ความสอดคล้อง (Relevance) ผลการประเมินในด้านนี้ เท่ากับ 5.00 คะแนน เนื่องจากมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) ในแผนศาสตร์ด้านความมันคง แผนการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 และนโยบายของรัฐบาล ข้อ 8.3 การปฏิรูประบบราชการและกองทัพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
2.2 ความเชื่อมโยง (Coherence) ผลการประเมินในด้านนี้ เท่ากับ 5.00 คะแนน เนื่องจากมีการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานภายในกระทรวงกลาโหม ไม่มีความซ้ำซ้อนกับนโยบายหรือโครงการอื่น โดยมีการดำเนินการควบคู่ไปกับนโยบายของกองทัพในการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงที่มีอยู่ในปัจจุบัน และที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ตามแนวทางปรับลดกำลังพลที่ปรากฏในแผนยุทธศาสตร์และพัฒนากองทัพ
2.3 ประสิทธิภาพ (Efficiency) ผลการประเมินภาพรวมในด้านนี้ เท่ากับ 3.83 คะแนน เนื่องจากมีการใช้ทรัพยากรในการดำเนินโครงการ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการเบิกจ่ายงบประมาณ ด้านการบริหารจัดการโครงการอย่างเป็นระบบ ด้านบุคลากร และด้านวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้
การประเมินผลดำเนินการ โดยใช้คะแนนความคิดเห็นจากผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า หน่วยงานมีการบริหารจัดการทรัพยากรทั้งด้านงบประมาณ บุคลากร การวางแผนและติดตามโครงการ รวมถึงเครื่องมือสนับสนุนอยู่ในระดับ “มาก” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการใช้ทรัพยากรที่ได้รับการจัดสรรอย่างคุ้มค่าและเหมาะสม ทั้งในด้านการเบิกจ่ายงบประมาณที่เป็นไปตามเป้าหมายการวางแผนและติดตามโครงการ
อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดบางประการ ได้แก่ การสื่อสารและถ่ายทอดนโยบายที่ไม่ทั่วถึง ทำให้บุคลากรบางส่วนไม่เข้าใจความเชื่อมโยงของงานกับนโยบายรัฐบาล และมีความกังวลเรื่องจำนวนบุคลากรที่ไม่สอดดคล้องกับภาระงาน โดยเฉพาะงานที่มีความเร่งด่วนหรือปริมาณมาก
นอกจากนี้ บุคลากรบางส่วนไม่สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้ต้องพึ่งพาบุคลากรรุ่นใหม่เป็นหลัก ซึ่งอาจกระทบต่อคุณภาพและประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยรวมของหน่วยงานในระยะยาว
2.4 ประสิทธิผล (Effectiveness) ผลการประเมินในด้านนี้ เท่ากับ 5.00 คะแนน เนื่องจากการปรับลดกำลังพลในภาพรวมของกระทรวงกลาโหม สามารถดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ซึ่งสอดคล้องกับแผนการปรับโครงสร้างกำลังพลของกระทรวงกลาโหม อันจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพ และการจัดสรรกำลังพลให้เหมาะสมต่อภารกิจในระยะยาว
2.5 ผลกระทบ (Impact)
2.5.1 ผลกระทบทางเศรษฐกิจ การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร ส่งผลให้สามารถนำงบประมาณไปลงทุนพัฒนาในด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และความคล่องตัวในการปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคง อีกทั้ง การลงทุนในด้านดังกล่าวสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ เกิดการสร้างงาน และเพิ่มรายได้ให้ภาคเอกชนและประชาชนที่เกี่ยวข้อง
2.5.2 ผลกระทบทางสังคม สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของทหารชั้นผู้น้อยผ่านการปรับสวัสดิการและค่าตอบแทน ส่งผลให้มีความมั่นคงในอาชีพและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อีกทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้บุคลากรพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี รวมทั้งการรับมือภัยคุกคามรูปแบบใหม่เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กรในการรับมือในอนาคต
2.6 ความยั่งยืน (Sustainability) พบว่า การปรับโครงสร้างอัตรากำลังพลก่อให้เกิดความยั่งยืนในหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง โดยการลงทุนในเทคโนโลยีและยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ การปรับสวัสดิการและพัฒนาทักษะให้ทหารชั้นผู้น้อยช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและศักยภาพของบุคลากร
ขณะที่การเสริมสร้างขีดความสามารถของกองทัพทำให้ประเทศมีความพร้อมในการรับมือสถานการณ์ต่างๆ และความมั่นคงในระยะยาว
@ชี้กำลังพล‘ชั้นยศสูง’เกินจำเป็น ส่งผลปรับลดกำลังพล‘ล่าช้า’
3.ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณ พบว่า กระทรวงกลาโหมสามารถบริหารงบประมาณและบุคลากรอย่างคุ้มค่า ปรับกระบวนการทำงานให้มีความคล่องตัว และบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการปฏิบัติราชการ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ปรับตัวต่อสถานการณ์ได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งพัฒนายุทโธปกรณ์ให้ทันสมัย ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ
4.ปัจจัยเสี่ยง พบว่า มีความเสี่ยงในการขาดการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ก่อนเกษียณ และการปรับลดกำลังพลในสถานการณ์ฉุกเฉิน อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และการดำเนินการจำเป็นต้องปรับแก้กฎหมายหรือระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้ขาดความต่อเนื่องในการปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดความรอบคอบ รัดกุม และเหมาะสมกับสภาวะการณ์ของประเทศ
5.ปัญหา/อุปสรรค
5.1 ลักษณะงานบางตำแหน่งไม่สอดคล้องกับภารกิจหลักและการปฏิบัติทางทหารโดยตรง
5.2 กำลังพลชั้นยศสูงมีจำนวนมากเกินความจำเป็น ส่งผลให้การปรับลดกำลังพลล่าช้า และไม่เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งข้อจำกัดด้านการสื่อสารและสิทธิประโยชน์ของโครงการยังไม่สามารถสร้างแรงจูงใจให้ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ
5.3 ภาระงานของบุคลากรที่เหลืออยู่มีจำนวนมาก แม้ว่าจะมีการนำเทคโนโลยีมาช่วยเสริมประสิทธิภาพ แต่ยังไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มกำลัง เนื่องจากบุคลากรบางส่วนขาดทักษะที่เพียงพอในการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม
6.ข้อเสนอแนะและแนวทางในการแก้ไข
6.1 ควรปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อลดความซ้ำซ้อน ปรับบทบาทและตำแหน่งให้สอดคล้องกับภารกิจ รวมทั้งสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนต่อบุคลากรทุกระดับ
6.2 ควรเพิ่มแรงจูงใจและปรับสิทธิประโยชน์ให้เหมาะสม และบริหารงบประมาณอย่างรัดกุม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งสิทธิประโยชน์ต้องมีความยืดหยุ่น และแผนการปรับลดกำลังพลควรครอบคลุมระยะสั้น กลาง และยาว
6.3 ทบทวนและลดภาระงานที่ไม่จำเป็น ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้คล่องตัว ลดความซ้ำช้อน และพัฒนาทักษะและความรู้ของบุคลากร รวมทั้งจัดทำแผนถ่ายทอดความรู้ จากบุคลากรที่มีประสบการณ์ก่อนเกษียณ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการองค์ความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
และส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านเทคโนโลยี การฝึกอบรม การให้คำปรึกษา และการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เสริมทักษะใหม่ และจัดหาอุปกรณ์ที่เหมาะสมเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
เหล่านี้เป็นสรุปภาพรวมรายงานการติดตามและประเมินผลด้านการปรับโครงสร้างอัตรากำลังให้เหมาะสมกับยุคสมัยของกระทรวงกลาโหม โดย ‘สำนักงบประมาณ’ ซึ่งประเมินว่า แม้ว่านโยบายปรับลดกำลังพล จะทำให้ค่าใช้จ่าย ‘ด้านบุคลากร’ เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง แต่จะช่วยแบ่งเบาภาระงบประมาณด้านบุคลากรได้เพียง ‘บางส่วน’ เท่านั้น
อีกทั้งยังประเมินว่า กำลังพล ‘ชั้นยศสูง’ ที่มีจำนวนมากเกินความจำเป็นนั้น ส่งผลให้การปรับลดกำลังพลล่าช้า และไม่เต็มประสิทธิภาพ ในขณะที่ ‘ลักษณะงาน’ บางตำแหน่ง อาจไม่สอดคล้องกับภารกิจหลักและการปฏิบัติทางทหารโดยตรง!
