
“…ดังนั้น จึงนำมาสู่ข้อประเด็นปัญหาว่า การดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขังตามระเบียบดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อ “การใช้ดุลพินิจเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้แก่บุคคล” นำไปสู่การเลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องขังในทางที่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ต้องขังที่ร่ำรวยหรือมีอิทธิพลส่วนตัว…”
...................................
ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 ต.ค.2568 ครม. รับทราบ ‘ข้อเสนอแนะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการคุมขังในสถานที่คุมขังตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 และอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง’ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสนอ
พร้อมทั้งมอบหมายให้ กระทรวงยุติธรรม โดย กรมราชทัณฑ์ เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ได้ข้อยุติ โดยให้กระทรวงยุติธรรมสรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เพื่อนำเสนอ ครม. ต่อไป นั้น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอ ‘ข้อเท็จจริง-ปัญหา’ ซึ่งนำไปสู่การจัดทำ ‘ข้อเสนอแนะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการคุมขังในสถานที่คุมขังตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 และอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง’ ของ ป.ป.ช. มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
@ชี้ 5 ปัญหา‘ขังนอกเรือนจำ’-พบเปิดช่องเอื้อ‘คนรวย-มีอิทธิพล’
ที่มาและความสำคัญ
จากกรณีที่กรมราชทัณฑ์ออกกฎกระทรวงกำหนดสถานที่คุมขัง พ.ศ.2563 เมื่อวันที่ 25 ก.ย.2563 และประกาศระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสาหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.2566 รวมถึงอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง
สาระสำคัญของกฎกระทรวง ระเบียบ และอนุบัญญัติเหล่านี้ เป็นการกำหนดสถานที่คุมขังอื่นที่มิใช่เรือนจำหรือจำคุกนอกเรือนจำ ซึ่งการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง อาจมีความเสี่ยงต่อ “การใช้ดุลพินิจเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้แก่บุคคล” นำไปสู่การเลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องขังในทางที่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ต้องขังที่ร่ำรวยหรือมีอิทธิพลส่วนตัว
ปัญหา
ที่มาของระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 อาศัยอำนาจ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 ดังนี้
1.มาตรา 33 กำหนดว่า สถานที่ใดจะใช้เป็นสถานที่คุมขังนอกเรือนจำ โดยที่จะสามารถดำเนินการได้ เมื่อมีกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ จากข้อเท็จจริงพบว่า กระทรวงยุติธรรมได้ออกกฎกระทรวงกำหนดสถานที่คุมขัง พ.ศ.2563 ซึ่งกฎกระทรวงดังกล่าวได้กำหนด
1) นิยามของสถานที่คุมขัง ซึ่งเป็นสถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ จะเป็นสถานที่ของทางราชการ ซึ่งเอกชนอนุญาตหรือยินยอมให้ใช้ประโยชน์
2) วัตถุประสงค์ในการคุมขังในสถานที่คุมขัง และ
3) อาณาเขต และลักษณะของสถานที่คุมขัง
4) สถานที่คุมขังที่แตกต่างกันตามแต่ละวัตถุประสงค์การคุมขัง
2.มาตรา 34 ซึ่งให้อำนาจกรมราชทัณฑ์ในการบริหารเรือนจำ และสถานที่คุมขังตามมาตรา 33 โดยให้อธิบดีวางระเบียบเกี่ยวกับการบริหารงานในเรือนจำและสถานที่คุมขัง และเพื่อให้การพัฒนาพฤตินิสัย การปฏิบัติตัวของผู้ต้องขังแต่ละประเภทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.2566 โดยอาศัยอำนาจของมาตรา 34 กรมราชทัณฑ์ได้ประกาศใช้ ‘ระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566’ ที่มีบทบัญญัติสำคัญ คือ ให้คณะทำงานพิจารณาการคุมขังในสถานที่คุมขัง มีอำนาจในการกลั่นกรองให้ผู้ต้องขังรายใดไปคุมขังในสถานที่คุมขัง โดยที่อำนาจในการอนุมัติจะอยู่ที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์
จากการศึกษาระเบียบที่เกี่ยวข้อง และแนวทางการคุมขังในสถานที่คุมขังนอกเรือนจำ ตามที่กรมราชทัณฑ์มีประกาศกำหนด ปรากฏปัญหาที่อาจจะเป็นความเสี่ยงต่อการทุจริต และปัญหา ในการปฏิบัติราชการ ดังนี้
ประเด็นปัญหาที่ 1 การขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89/2 และ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ใน 2 ประเด็น ได้แก่ 1) ผู้มีอำนาจอนุมัติให้ไปคุมขังในสถานที่คุมขัง และ 2) คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการคุมขังในสถานที่คุมขัง
ทั้งนี้ ตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 บัญญัติว่า
“กรมราชทัณฑ์อาจดำเนินการให้มีมาตรการบังคับโทษด้วยวิธีการอื่นนอกจากการควบคุมขัง หรือจำคุกไว้ในเรือนจำ แต่มาตรการดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รวมตลอดถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ”
ประเด็นปัญหาที่ 2 ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 และประกาศกรมราชทัณฑ์ฯ พ.ศ.2568 ไม่กำหนดระยะเวลาขั้นต่ำในการถูกคุมขัง สำหรับผู้ต้องขังบางประเภท สืบเนื่องมาจากประเด็นที่ 1 ที่คุณสมบัติของผู้จะได้รับการคุมขังในสถานที่คุมขัง ไม่มีกำหนดว่าต้องผ่านการจำคุกมาแล้วนานเท่าใด นอกจากจะเป็นคุณสมบัติที่ต่างกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว การไม่กำหนดระยะเวลาขั้นต่ำในการถูกคุมขัง จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการลงโทษตามวัตถุประสงค์ของการคุมขัง
ประเด็นปัญหาที่ 3 กระบวนการออกระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่า ด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 จากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
พบว่ากระบวนการออกระเบียบฯ ดังกล่าวมิได้เป็นอำนาจเด็ดขาดของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ แต่จะต้องผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากคณะกรรมการราชทัณฑ์ ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่า คณะกรรมการราชทัณฑ์ มิได้พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อระเบียบดังกล่าว แต่เป็นการอาศัยอำนาจของอธิบดีออกระเบียบดังกล่าว ทั้งนี้ อาจส่งผลต่อความชอบด้วยกฎหมายของระเบียบฯ
ประเด็นปัญหาที่ 4 ความไม่ชัดเจนของนิยามคำว่า “สถานที่คุมขัง” โดยเกิดการตีความว่า หมายความรวมถึง บ้านหรือที่อยู่อาศัยส่วนตัวของผู้ถูกคุมขัง ซึ่งนัยของสถานที่คุมขังตามระเบียบฯ ไม่ควรหมายความรวมถึงบ้านหรือที่อยู่อาศัยส่วนตัวของผู้ถูกคุมขัง
ประเด็นปัญหาที่ 5 ความเสี่ยงจากการใช้อำนาจดุลพินิจ โดยที่วิธีการ ขั้นตอนการดำเนินการของคณะกรรมการหรือคณะทำงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง ตามระเบียบเปิดโอกาสให้เจ้าพนักงานของรัฐใช้ดุลพินิจ ซึ่งอาจเป็นช่องทางในการแสวงหาประโยชน์หรือเรียกค่าตอบแทนจากการใช้อำนาจดังกล่าว
จนนำมาสู่การใช้ดุลพินิจที่ไม่เหมาะสมหรือผิดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน เป็นความเสี่ยงต่อการใช้ดุลพินิจเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้แก่บุคคล เช่น ผู้ต้องขังที่มีฐานะทางการเงินดีหรือมีการใช้อิทธิพลส่วนตัว
@ชี้ระเบียบฯคุมขังนอก‘เรือนจำ’ปี 66 ขัดกับ‘ป.อาญา’ม.89/2
ข้อพิจารณา
ประเด็นที่ 1 การขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89/2 และ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560
ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 ขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89/2
โดยที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89/2 บัญญัติว่า
“ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น เมื่อพนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำ หรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุกร้องขอ หรือเมื่อศาลเห็นสมควร ศาลจะสั่งให้จำคุกผู้ซึ่งต้องจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดที่ได้รับโทษจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของกำหนดโทษตามที่ระบุไว้ในหมายศาลที่ออกตามคำพิพากษานั้น หรือไม่น้อยกว่าสิบปีในกรณีต้องโทษจำคุกเกินสามสิบปีขึ้นไป หรือจำคุกตลอดชีวิต โดยวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ก็ได้
(1) ให้จำคุกในสถานที่อื่นตามที่บุคคลดังกล่าวร้องขอ หรือตามที่ศาลเห็นสมควรนอกจากเรือนจำหรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายจำคุก ทั้งนี้ ลักษณะของสถานที่ดังกล่าวให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งต้องกำหนดวิธีการควบคุม และมาตรการเพื่อป้องกันการหลบหนีหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นด้วย
(2) ให้จำคุกไว้ในเรือนจำหรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายจำคุกหรือสถานที่อื่นตาม (1) เฉพาะวันที่กำหนดตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
(3) ให้จำคุกโดยวิธีการอื่น ที่สามารถจำกัดการเดินทางและอาณาเขตของผู้นั้นได้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
ในการพิจารณาของศาลตามวรรคหนึ่งให้ศาลคำนึงถึงฐานความผิด ความประพฤติ สวัสดิภาพของผู้ซึ่งต้องจำคุก ตลอดจนสวัสดิภาพ และความปลอดภัยของผู้เสียหายและสังคมด้วย ทั้งนี้ ให้ศาลดำเนินการไต่สวนหรือสอบถามผู้เสียหาย เจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องตามหมายจำคุก พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจในท้องที่นั้นหรือผู้ซึ่งศาลเห็นว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง
คำสั่งของศาลตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลกำหนดให้เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายนั้น เป็นผู้มีหน้าที่และรับผิดชอบในการดำเนินการตามสั่งและให้นำความในมาตรา 89/1 วรรคสี่มา ใช้บังคับโดยอนุโลม”
ดังนั้น การคุมขังในสถานที่คุมขังที่มิใช่เรือนจำ เป็นการใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89/2 ที่มีบทบัญญัติให้เป็นอานาจของศาล ดังนี้
คุณสมบัติ ผู้ถูกจำคุกที่มีคุณสมบัติตามกำหนด คือ ได้รับโทษจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกำหนดโทษหรือได้รับโทษจาคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี ในกรณีที่ต้องโทษจำคุกเกิน 30 ปีขึ้นไป หรือจำคุกตลอดชีวิต
ผู้เสนอ ได้แก่ 1) พนักงานอัยการ
2) ผู้บัญชาการเรือนจำ หรือ
3) เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุกร้องขอ หรือ
4 ) ศาลเห็นสมควร
ผู้มีอำนาจในการให้คุมขังในสถานที่อื่นนอกจากเรือนจำ คือ “ศาล”
แต่ในขณะเดียวกัน การคุมขังในสถานที่คุมขังที่มิใช่เรือนจำ ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 เป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจกรมราชทัณฑ์ อาศัยอำนาจตามความมาตรา 33 และมาตรา 34 แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 หมวด 3 การจำแนกเขตความรับผิดชอบ และมาตรฐานเรือนจำที่บัญญัติว่า
“มาตรา 33 การกำหนดอาณาเขตในสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำให้เป็นสถานที่คุมขัง เพื่อดำเนินกิจการตามภารกิจของกรมราชทัณฑ์ ให้สามารถทำได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กาหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 34 เพื่อให้การบริหารงานของเรือนจำและสถานที่คุมขังตามมาตรา 33 ทุกแห่ง เป็นไปในแนวทางและมาตรฐานเดียวกัน ให้อธิบดีวางระเบียบเกี่ยวกับการบริหารงานในเรือนจำและสถานที่คุมขัง การปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานเรือนจำและเจ้าหน้าที่ การแก้ไข บำบัด ฟื้นฟูและพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง การปฏิบัติตัวของผู้ต้องขังแต่ละประเภทและการอื่นอาจจำเป็นตามที่กาหนดในพระราชบัญญัตินี้”
คุณสมบัติผู้ต้องขังที่จะได้รับการพิจารณาคัดเลือกไปคุมขังในสถานที่คุมขัง
(1) เป็นผู้ต้องขังตามกฎหมายราชทัณฑ์
(2) ผ่านการจำแนกลักษณะผู้ต้องขังหรือทบทวนแผนการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังรายบุคคล และคณะทำงานเพื่อจำแนกลักษณะของผู้ต้องขังประจำเรือนจำเห็นว่า ควรกำหนดแผนการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังรายบุคคล โดยให้คุมขังในสถานที่คุมขังตามระเบียบนี้
(3) มีคุณสมบัติเฉพาะและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในประกาศกำหนดคุณสมบัติเฉพาะ ลักษณะต้องห้าม และวิธีการคุมขังในสถานที่คุมขังสาหรับผู้ต้องขังแต่ละกลุ่มของกรมราชทัณฑ์
ข้อพิจารณาประการหนึ่ง คือ เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และระเบียบที่อ้างอิงอำนาจตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 กำหนดให้องค์อำนาจที่แตกต่างกันสามารถใช้อำนาจรัฐในเรื่องเดียวกัน
หากกรมราชทัณฑ์มีคำสั่งให้ดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง จะเป็นการเพิกเฉยต่อบทกำหนดโทษที่ศาลลงเอาไว้ ดังนั้นแล้ว ระหว่างคำสั่งขององค์กรที่ใช้อานาจตุลาการ หรือคำสั่งขององค์กรที่ใช้อานาจบริหาร คำสั่งใดจึงจะเป็นที่สุด
นอกจากนี้ เมื่ออ้างอิงความคิดเห็นทางวิชาการของนักวิชาการด้านนิติศาสตร์ และการให้ข้อมูลของผู้แทนสำนักงานศาลยุติธรรม ประกอบกับการพิจารณาตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 เห็นว่า กฎหมายดังกล่าวมีลักษณะขัดกัน
ทั้งนี้ ปรากฏข้อมูลความขัดกันในเรื่องของการใช้อำนาจด้วยองค์อำนาจ/ผู้มีอำนาจอนุมัติที่แตกต่างกัน รวมถึงปรากฏความแตกต่าง เรื่องกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการพิจารณาให้ไปคุมขังในสถานที่คุมขัง ดังนี้

โดยที่มาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 บัญญัติว่า “กรมราชทัณฑ์อาจดำเนินการให้มีมาตรการบังคับโทษด้วยวิธีการอื่นนอกจากการควบคุม ขัง หรือจำคุกไว้ในเรือนจำ แต่มาตรการดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รวมตลอดถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ”
จากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ความว่า
“หากเทียบเคียงมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 กับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะพบว่า มาตราดังกล่าว เปรียบเสมือนเป็นหลักทั่วไปของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ เช่นเดียวกับที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดให้หลักสุจริต หรือการกำหนดให้ทำเป็นหนังสือเป็นหลักทั่วไป เป็นต้น
ดังนั้นแล้ว มาตรการต่างๆ ที่กรมราชทัณฑ์จะดำเนินการโดยอาศัย พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มาตรการบังคับโทษด้วยวิธีการอื่นนอกจากการควบคุม ขัง หรือจำคุกไว้ในเรือนจำ ต้องไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รวมถึงการสั่งให้คุมขังในสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำ ต้องเป็นไปตามมาตรา 6 นี้ด้วย
โดยที่มาตรา 6 ไม่อาจแยกพิจารณาออกจากมาตรา 33 การกำหนดให้สถานที่ใดเป็นสถานที่คุมขัง ถึงแม้ว่ากรมราชทัณฑ์จะมีอำนาจกำหนดสถานที่คุมขังและบริหารงานของเรือนจำและสถานที่คุมขัง โดยอาศัยอานาจตามมาตรา 33 และมาตรา 34
อย่างไรก็ตาม เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กำหนดให้อำนาจในการสั่งให้คุมขังนอกเรือนจำเป็นอำนาจของศาล ดังนั้นแล้ว กรมราชทัณฑ์ ควรกำหนดบทบาทของตนเพียงแค่การกำหนดอาณาเขตที่เป็นสถานที่คุมขังที่มิใช่เรือนจำ
และการขอให้ไปคุมขังในสถานที่ที่มิใช่เรือนจำ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบังคับโทษประการหนึ่ง จึงต้องให้ศาลพิจารณาอนุมัติใช้ดุลพินิจ พิจารณาถึงพฤติการณ์การกระทำความผิดที่ผ่านมาว่า ผู้ต้องขังในแต่ละรายควรได้รับอนุญาตให้ไปคุมขังในสถานที่คุมขังที่มิใช่เรือนจำ ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 89/2 เพื่อไม่ให้เป็นการดำเนินการที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
อ้างอิงคำพูดของนักวิชาการ สิ่งที่กรมราชทัณฑ์ดำเนินการ เสมือนหนึ่งเป็นการเจาะประตูหลังกระบวนการยุติธรรม หรือ Bypass อำนาจตุลาการ
และแม้ว่าจากข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า การดำเนินการตามมาตรา 89/2 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีปัญหาอุปสรรคในการนำสู่การปฏิบัติ สาเหตุหลักเกิดจากการไม่มีบัญชีรายชื่อสถานที่ขังที่กระทรวงยุติธรรมกำหนดรองรับ ตามกฎกระทรวงยุติธรรมกำหนดสถานที่อื่นที่ใช้ในการขัง จำคุก หรือควบคุมผู้ต้องหา จำเลย หรือผู้ต้องขังตามคำพิพากษาถึงที่สุด พ.ศ.2552
กล่าวคือ แม้ว่าศาลต้องการใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 89/2 ก็ไม่สามารถสั่งได้ เนื่องจากไม่มีสถานที่คุมขังที่เป็นรูปธรรมมารองรับ อย่างไรก็ตาม เหตุผลดังกล่าวไม่ใช่เหตุผลที่จะไม่แก้ไขปัญหาความขัดข้องทางกฎหมาย และหลีกเลี่ยงการใช้อำนาจตุลาการ”
ดังนั้น จึงนำมาสู่ประเด็นปัญหาว่า ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสาหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 ขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89/2
@ไม่กำหนดเวลา‘ขั้นต่ำ’ถูกคุมขัง ส่อเอื้อปย.‘ผู้ต้องขัง’บางราย
ประเด็นที่ 2 ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 และประกาศกรมราชทัณฑ์ฯ พ.ศ.2568 ไม่กำหนดระยะเวลาขั้นต่ำในการถูกคุมขัง สำหรับผู้ต้องขังบางประเภท
พบข้อสังเกตว่า ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 ไม่มีการกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำในการถูกคุมขัง ที่ผู้ถูกคุมขังจะต้องได้รับโทษมาแล้วนานเท่าใด จึงจะได้รับการพิจารณาให้ไปคุมขังในสถานที่คุมขังนอกเรือนจำ
ประกอบกับประกาศกรมราชทัณฑ์ เรื่อง กำหนดคุณสมบัติเฉพาะ ลักษณะต้องห้าม และวิธีการคุมขังผู้ต้องขังในสถานที่คุมขังตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 พ.ศ.2568 ไม่มีกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำที่ผู้ถูกคุมขังจะต้องได้รับโทษจาคุกมาแล้วนานเท่าใด จึงจะได้รับการพิจารณาให้ไปคุมขังในสถานที่คุมขังนอกเรือนจำ
กรณีการปฏิบัติตามระบบการจำแนกลักษณะและการแยกคุมขังและการพัฒนาพฤตินิสัย และการักษาพยาบาลนำมาสู่ข้อพิจารณา 2 ประเด็น คือ
1.คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการพิจารณาให้ไปคุมขัง ตามที่กำหนดในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 89/2 นั้น มีความแตกต่างจากคุณสมบัติของผู้ต้องขังที่ได้รับการพิจารณาให้ออกไปคุมขังยังสถานที่คุมขัง ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 (ประเด็นพิจารณาที่ 1)
2.ในการบริหารโทษ มีความจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการสร้างสังคมที่ปลอดภัย การพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังและการแก้ปัญหาคนล้นคุก ดังนั้น จึงเป็นที่มาของแนวคิดในต่างประเทศ (สาธารณรัฐฝรั่งเศส สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งเป็นต้นแบบการพักการลงโทษในประเทศไทยด้วย) ว่า จะไม่มีการพักการลงโทษหรือปล่อยตัวออกจากเรือนจำในช่วงแรกของการคุมขัง คือ ระยะเวลา 1/3 ของโทษจำคุก ซึ่งระยะเวลาขั้นต่ำนั้นมีความสำคัญ เช่น
(1) เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้ชดเชยการกระทำของตนในเรือนจำ
(2) เพื่อป้องปรามไม่ให้ผู้ต้องขังกระทำผิดซ้ำในช่วงระยะเวลาดังกล่าว อันเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของสังคม โดยแยกผู้กระทำผิดออกจากสังคม
(3) เพื่อให้ผู้ถูกคุมขังได้รับการพัฒนาพฤตินิสัยในเรือนจำอย่างมีประสิทธิภาพ
(4) เพื่อให้การกำหนดโทษของศาลยังมีความหมายอยู่
อย่างไรก็ตาม จากข้อเท็จจริงปรากฏว่า การสั่งให้คุมขังนอกเรือนจำ (ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสาหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566) กรณีการปฏิบัติตามระบบการจำแนก และแยกการคุมขังและการพัฒนาพฤตินิสัยและการรักษาพยาบาล ไม่มีการกาหนดระยะเวลาขั้นต่ำของการที่ผู้ต้องขังจะต้องได้รับโทษจำคุกมาแล้ว
ดังนั้น จึงนำมาสู่ประเด็นปัญหาว่า การที่ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 และประกาศกรมราชทัณฑ์ เรื่อง กำหนดคุณสมบัติเฉพาะ ลักษณะต้องห้าม และวิธีการคุมขังผู้ต้องขังในสถานที่คุมขังตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 พ.ศ.2568
ไม่กำหนดระยะเวลาขั้นต่ำในการถูกคุมขัง สำหรับผู้ต้องขังบางประเภท ว่าจะต้องรับโทษจำคุกมาแล้วเท่าใด จึงทำให้สังคมเกิดความไม่มั่นใจว่าผู้ต้องขังรายต่างๆ ได้รับการปฏิบัติจนบรรลุตามวัตถุประสงค์ของการลงโทษในเรือนจำได้มากน้อยเพียงใด และอาจเป็นช่องทางเอื้อผลประโยชน์ให้แก่ผู้ต้องขังรายใดรายหนึ่งได้
@‘กระบวนการ’ ออกระเบียบฯขังนอกคุกปี 66 ส่อขัดกฎหมาย
ประเด็นที่ 3 กระบวนการออกระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566
จากการให้ข้อมูลของผู้แทนกรมราชทัณฑ์ ที่ชี้แจงต่อคณะกรรมการอำนวยการด้านมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม ในการประชุมครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2567 ประกอบกับข้อมูลที่ปรากฏในรายงานการประชุมคณะกรรมการราชทัณฑ์ สามารถสรุปความเห็นได้ดังนี้
เมื่ออำนาจในการออกระเบียบตามมาตรา 34 แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 เป็นของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ดังนั้น ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในศาลที่คุมขัง พ.ศ.2566 อธิบดีกรมราชทัณฑ์ จึงสามารถพิจารณาออกระเบียบและประกาศบังคับใช้ได้เลย โดยที่ไม่ต้องผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากคณะกรรมการราชทัณฑ์
ประกอบกับมีความคิดว่า หากระเบียบใดจะให้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการราชทัณฑ์อีกครั้ง จะบัญญัติไว้อย่างชัดเจน อย่างเช่นกรณี
มาตรา 40 เพื่อประโยชน์ในการจัดชั้น จัดกลุ่ม ควบคุม แยกคุมขัง แก้ไข บำบัด ฟื้นฟูและพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังให้กลับตนเป็นคนดี และการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยตัวผู้ต้องขัง ให้อธิบดีจัดให้มีระบบการจำแนกลักษณะของผู้ต้องขัง
โดยให้คำนึงถึงโทษและพฤติการณ์ในการกระทำความผิด ลักษณะความผิด ความรุนแรงของคดี การกระทำความผิดที่ได้กระทำมาก่อนแล้ว และความประพฤติและวินัยในระหว่างคุมขัง ตลอดจนระยะเวลากำหนดโทษคุมขังที่เหลืออยู่ของผู้ต้องขังดังกล่าว และให้อธิบดีมีอำนาจย้ายผู้ต้องขังตามระบบการจำแนกและการแยกคุมขังดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ
มาตรา 41 ภายใต้บังคับมาตรา 40 เพื่อประโยชน์ในการบริหาร จัดการผู้ต้องขังภายในเรือนจำ ให้อธิบดีจัดให้มีระบบการจัดชั้น การจัดกลุ่ม ผู้ต้องขังและการแยกคุมขัง โดยต้องคำนึงถึงประเภทหรือชั้นของเรือนจำที่ได้จำแนกไว้ตามมาตรา 31 และความเหมาะสมกับผู้ต้องขังแต่ละประเภท แต่ละชั้น การควบคุม แก้ไข บำบัด ฟื้นฟู และพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง ตลอดจนการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามกฎกระทรวง โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ
มาตรา 42 เพื่อประโยชน์ในการแก้ไข บำบัด ฟื้นฟู และพัฒนา พฤตินิสัยผู้ต้องขังให้กลับตนเป็นคนดี ให้อธิบดีจัดให้มีระบบการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง ด้วยวิธีการและแนวทางที่เหมาะสมเกี่ยวกับการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง โดยให้ผู้ต้องขังได้รับการศึกษา การอบรมทั้งด้านคุณธรรมและจริยธรรม การทำงาน การฝึกวิชาชีพ การปฏิบัติศาสนกิจ การเรียนรู้ วัฒนธรรมอันดีงาม กิจกรรมสันทนาการ กีฬา รวมทั้งจะต้องมีโอกาสได้รับการติดต่อกับครอบครัว ญาติมิตร องค์กรเอกชนที่มีภารกิจเพื่อการแก้ไข บำบัด ฟื้นฟู และพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง และรับรู้ถึงข่าวสารและความเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบกรมราชทัณฑ์โดย ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ
อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง จากความคิดเห็นจากนักวิชาการด้านนิติศาสตร์ ประกอบกับการพิจารณาตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 ที่มาตรา 8 บัญญัติให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการราชทัณฑ์” ... ประกอบมาตรา 12 คณะกรรมการมีอานาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(1) กำหนดนโยบายและทิศทางในการบริหารงานราชทัณฑ์ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจด้านการราชทัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งพิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานราชทัณฑ์ ตามที่คณะรัฐมนตรีขอให้พิจารณา
(2) ให้คำแนะนำหรือคำปรึกษาแก่รัฐมนตรีในการออกกฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งให้คำแนะนาแก่อธิบดีในการวางระเบียบกรมราชทัณฑ์
(3) ให้ความเห็นชอบกฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้
ดังนั้น คณะกรรมการราชทัณฑ์ จึงต้องมีอานาจหน้าที่ประการหนึ่ง คือ ต้องให้ความเห็นชอบกฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.นี้ด้วย เพราะเป็นอนุบัญญัติที่ออกโดยอาศัยอำนาจของ พ.ร.บ.พ.ศ.2560
เมื่อการออกกฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศ เป็นสิ่งที่ผลกระทบในวงกว้าง จึงมีความจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาจากผู้เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ตามเจตนารมณ์ที่ พ.ร.บ. กำหนดให้มีกลไก “คณะกรรมการราชทัณฑ์” และถึงแม้ว่าระเบียบดังกล่าวจะถูกออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 33 และมาตรา 34
รวมถึงได้ผ่านการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการในการคุมขังในสถานที่อื่นแล้วก็ตาม ก็ไม่ได้เป็นเหตุงดเว้นไม่ให้ระเบียบดังกล่าว ไม่ต้องผ่านการพิจารณาในชั้นของคณะกรรมการราชทัณฑ์ แต่อย่างใด
จึงนำมาสู่ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับกระบวนการออกระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 ว่า กระบวนการออกระเบียบฯ เป็นไปตามกระบวนการ ทางกฎหมายหรือไม่
@สั่งให้คุมขังที่‘บ้าน’ไม่อาจทำให้บรรลุตามวัตถุประสงค์‘คุมขัง’ได้
ประเด็นที่ 4 ความไม่ชัดเจนของนิยามคำว่า “สถานที่คุมขัง”
โดยที่มาตรา 33 แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 บัญญัติให้มีการกำหนดอาณาเขต ในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำให้เป็นที่คุมขัง เพื่อดำเนินกิจกรรมตามภารกิจของราชทัณฑ์ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงกาหนดสถานที่คุมขัง พ.ศ.2563
กฎกระทรวงกำหนดสถานที่คุมขัง พ.ศ.2563 ได้กำหนดคำนิยามของคำว่า “สถานที่คุมขัง” หมายความถึง “สถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำซึ่งเป็นสถานที่ของทางราชการหรือเอกชนที่เจ้าของหรือผู้ปกครองดูแลรักษาสถานที่อนุญาตหรือยินยอมเป็นหนังสือให้ใช้ประโยชน์ในการควบคุมผู้ต้องขัง ทั้งนี้ ต้องไม่ใช่สถานที่ตามมาตรา 89/2 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ข้อ 1)”
โดยมีการกำหนดว่าสถานที่คุมขังต้องมีวัตถุประสงค์ในการใช้คุมขังเพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง (ข้อ 3) ดังนี้
(1) การปฏิบัติตามระบบการจำแนกและการแยกคุมขัง
(2) การดำเนินการตามระบบการพัฒนาพฤตินิสัย
(3) การรักษาพยาบาลผู้ต้องขัง
(4) การเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย
ทั้งนี้ สำหรับสถานที่คุมขังในแต่ละวัตถุประสงค์จะมีความแตกต่างกัน ซึ่งระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 อ้างอิงสถานที่คุมขังตามกฎกระทรวงกาหนดสถานที่คุมขัง ดังปรากฏตามตาราง


สำหรับความไม่ชัดเจนของการดำเนินการปรากฏ เมื่อเป็นการคุมขังตามวัตถุประสงค์ที่ 1 กรณีการปฏิบัติตามระบบจำแนกและแยกคุมขัง ที่กำหนดให้ “สถานที่สาหรับอยู่อาศัย” เป็นสถานที่คุมขัง ทำให้เกิดการตีความว่า สถานที่อยู่อาศัย มีความหมายครอบคลุมถึง บ้านหรือเคหะสถานของผู้ถูกคุมขังด้วย
อย่างไรก็ตาม อ้างอิงความคิดเห็นจากนักวิชาการด้านนิติศาสตร์ ประกอบการพิจารณาตามประมวลกฎหมายอาญา และแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการคุมขัง พบเหตุผลว่า สถานที่สำหรับอยู่อาศัย ไม่ได้หมายความรวมถึง บ้านหรือเคหะสถานของผู้ถูกคุมขัง โดยมีเหตุผลประกอบ ดังนี้
1.เมื่อเทียบเคียงกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 24 ที่ให้อานาจศาลสั่งให้กักขังผู้ต้องโทษไว้ที่ ที่อาศัยของผู้นั้นเอง หรือ “บ้านของตนเอง” ถ้าให้กลับบ้านได้ กฎหมายต้องบัญญัติโดยชัดแจ้งว่า ให้กลับไปบ้านหรือที่อาศัยของผู้นั้นเอง
มาตรา 24 ผู้ใดต้องโทษกักขัง ให้กักตัวไว้ในสถานที่กักขังซึ่งกำหนดไว้อันมิใช่เรือนจำ สถานีตำรวจ หรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน ถ้าศาลเห็นเป็นการสมควร จะสั่งในคำพิพากษาให้กักขังผู้กระทำความผิดไว้ในที่อาศัยของผู้นั้นเอง หรือของผู้อื่นที่ยินยอมรับผู้นั้นไว้ หรือสถานที่อื่นที่อาจกักขังได้ เพื่อให้เหมาะสมกับประเภทหรือสภาพของผู้ถูกกักขังก็ได้
วรรคสอง ถ้าความปรากฏแก่ศาลว่า การกักขังผู้ต้องโทษกักขังไว้ในสถานที่กักขังตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้นั้น หรือทำให้ผู้ซึ่งต้องพึ่งพาผู้ต้องโทษกักขังในการดำรงชีพได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร หรือมีพฤติการณ์พิเศษประการอื่นที่แสดงให้เห็นว่าไม่สมควรกักขังผู้ต้องโทษกักขังในสถานที่ดังกล่าว ศาลจะมีคำสั่งให้กักขังผู้ต้องโทษกักขังในสถานที่อื่นซึ่งมิใช่ที่อยู่อาศัยของผู้นั้นเองโดยได้รับความยินยอมจากเจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่ก็ได้ กรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลมีอำนาจกาหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดให้ผู้ต้องโทษกักขังปฏิบัติ และหากเจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่ดังกล่าวยินยอม ศาลอาจมีคำสั่งแต่งตั้งผู้นั้นเป็นผู้ควบคุมดูแลและให้ถือว่าผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายนี้
มาตรา 29 ผู้ใดต้องโทษปรับและไม่ชำระค่าปรับภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา ผู้นั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินเพื่อใช้ค่าปรับ หรือมิฉะนั้นจะต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ แต่ถ้าศาลเห็นเหตุอันควรสงสัยว่าผู้นั้นจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับ ศาลจะสั่งเรียกประกันหรือจะสั่งให้กักขังผู้นั้นแทนค่าปรับไปพลางก่อนก็ได้
วรรคสอง ความในวรรคสองของมาตรา 24 มิให้นำมาใช้บังคับแก่การกักขังแทนค่าปรับ
เมื่อกฎกระทรวงกำหนดสถานที่คุมขัง พ.ศ.2563 ได้ให้คำนิยามว่า
ข้อ 2 “สถานที่คุมขัง” หมายความว่า สถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำซึ่งเป็นสถานที่ของทางราชการหรือเอกชนที่เจ้าของหรือผู้ปกครองดูแลรักษาสถานที่อนุญาตหรือยินยอมเป็นหนังสือให้ใช้ประโยชน์ในการควบคุมผู้ต้องขัง
ทั้งนี้ ต้องไม่ใช่สถานที่ตามมาตรา 89/2 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งไม่ได้มีการกำหนดว่า จะสามารถใช้ที่อาศัยของผู้นั้นเอง หรือ “บ้านของตนเอง” เป็นสถานที่คุมขังแต่อย่างใด แสดงว่าการดาเนินการตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 จะไม่สามารถสั่งให้คุมขังที่บ้านของตนเอง
2.เมื่อพิจารณาถึงแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการคุมขัง คือ โดยที่การลงโทษ จะต้องก่อให้เกิดประโยชน์ เช่น ต้องเป็นไปเพื่อให้เกิดความเจ็บปวดแก่ผู้กระทำความผิดให้สมสัดส่วนกับความน่าตำหนิของการกระทำผิดที่ได้กระทำลง เพื่อป้องปรามอาชญากรรมแยกบุคคลที่กระทำความผิดออกจากสังคม เพื่อตัดโอกาสในการกระทำความผิดนั้นอีก เพื่อทำให้ผู้กระทำผิดได้รับการแก้ไขฟื้นฟู เป็นต้น
ทั้งนี้ การสั่งให้คุมขังที่บ้านไม่สามารถทำให้บรรลุตามวัตถุประสงค์การคุมขังได้ โดยเฉพาะเพื่อสร้างความเจ็บปวดได้ตามเหตุผลการลงโทษ
ดังนั้น จึงนามาสู่ประเด็นปัญหาว่า ความไม่ชัดเจนของนิยาม “สถานที่คุมขัง” ทำให้เกิดการตีความว่าหมายความรวมถึงบ้านหรือที่อยู่อาศัยส่วนตัวของผู้ถูกคุมขังหรือไม่ ซึ่งนัยของสถานที่คุมขังตาม ระเบียบฯ ไม่ควรหมายความรวมถึง บ้านหรือที่อยู่อาศัยส่วนตัวของผู้ถูกคุมขัง
@เสี่ยงใช้อำนาจ‘ดุลพินิจ’เอื้อประโยชน์คนร่ำรวย-มีอิทธิพลส่วนตัว
ประเด็นที่ 5 ความเสี่ยงจากการใช้อำนาจดุลพินิจ
ถึงแม้ว่า กรมราชทัณฑ์เน้นย้ำว่าระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขัง ในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ต้องขังรายใดเป็นพิเศษ โดยจะมีกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากระเบียบดังกล่าว ซึ่งสามารถแสดงสถิติข้อมูลผู้ต้องขังกลุ่มเป้าหมายสำหรับที่คุมขังแต่ละประเภทจำแนกตามวัตถุประสงค์การคุมขัง ดังตาราง

อย่างไรก็ตาม พบข้อสังเกตว่า ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 มีแนวการปฏิบัติที่ทำให้เจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องใช้อำนาจดุลพินิจ คือ เจ้าพนักงานสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระที่จะเลือกกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่ระเบียบกาหนด
ทั้งนี้ การที่ระเบียบฯ ให้อำนาจในการใช้ดุลพินิจ ก็อาจส่งผลให้เจ้าพนักงานของรัฐใช้เป็นช่องทางในการแสวงหาประโยชน์หรือเรียกรับค่าตอบแทนจากการใช้อำนาจดังกล่าว จนนำมาสู่การใช้ดุลพินิจที่ไม่เหมาะสมหรือผิดเจตนารมณ์ของระเบียบฯ ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้ต้องขังรายอื่นๆ
โดยที่แนวทางปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวยังขาดความชัดเจนว่า มีกระบวนการคัดกรองหรือกำหนดคุณสมบัติของผู้ต้องขังที่จะได้รับการอนุมัติให้ไปคุมขังในสถานที่คุมขังอย่างไร ซึ่งต่างจากบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 ส่วนที่ 3 ประโยชน์ของผู้ต้องขังมาตรา 52 (5) ที่บัญญัติว่า นักโทษเด็ดขาดอาจได้รับประโยชน์ลดวันต้องโทษจาคุกให้เดือนละไม่เกิน 5 วันฯ
หรือในมาตรา 52(7) บัญญัติว่านักโทษเด็ดขาดอาจได้รับประโยชน์ พักการลงโทษ เมื่อได้รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือนหรือ 1 ใน 3 ของกำหนดโทษตามหมายศาลในขณะนั้นแต่อย่างใดจะมากกว่า หรือไม่น้อยกว่า 10 ปีในกรณีที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตที่มีการเปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษจำคุกที่กำหนดเวลาฯ โดยให้คณะกรรมการราชทัณฑ์แต่งตั้ง คณะอนุกรรมการเพื่อวินิจฉัยการพักการลงโทษ
จึงเป็นบทบัญญัติที่มีการกำหนดกระบวนการคัดกรองและคุณสมบัติของผู้ต้องขังที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ได้ชัดเจนมากกว่ากระบวนการคัดกรองหรือกำหนดคุณสมบัติของผู้ต้องขังตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566
ทั้งนี้ จุดเริ่มต้น ระเบียบฯเปิดให้เจ้าพนักงานใช้อานาจดุลพินิจ ในการดำเนินการในขั้นตอนการพิจารณา โดยคณะทำงานเพื่อจำแนกลักษณะของผู้ต้องขังประจำเรือนจำ
คณะทำงานเพื่อจำแนกลักษณะของผู้ต้องขังประจำเรือนจำ เป็นกลไกสำคัญลำดับแรกที่จะกลั่นกรองให้ผู้ต้องขังรายใดได้ออกไปคุมขังยังสถานที่คุมขัง ซึ่งกระบวนการให้มีการคุมขังในสถานที่ คุมขัง ต้องเริ่มต้นจากเจ้าหน้าที่เท่านั้น
กล่าวคือ ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ที่เสนอชื่อนักโทษที่สมควรได้รับการพิจารณา และยังมีอำนาจทำหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติผู้ต้องขังที่มีคุณสมบัติครบถ้วน และไม่ปรากฏคุณสมบัติต้องห้าม และรวบรวมข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณา เช่น พฤติกรรมขณะต้องโทษ และรายละเอียดอื่นเท่าที่จะรวบรวมได้ เป็นต้น โดยที่ระเบียบฯ ไม่ได้เปิดช่องทางให้ผู้ต้องขังร้องขอให้ มีการคุมขังในสถานที่คุมขังด้วยตนเอง
ความเสี่ยงสำคัญ คือ หากเจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจในทางให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ต้องขังบางราย เช่น อาจจะเป็นผู้ต้องขังที่ร่ารวย หรือมีอิทธิพล หรือเป็นผู้ต้องขังที่สามารถเสนอผลประโยชน์หรือทรัพย์สินให้แก่เจ้าหน้าที่ได้
อาจทำให้ผู้ต้องขังรายอื่นๆ ที่แม้จะมีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ ก็ไม่อาจได้รับการคัดเลือกกลั่นกรองให้ออกไปคุมขังยังสถานที่คุมขัง และต้องจำคุกตามคาพิพากษาในเรือนจาต่อไป หรือแม้กระทั่งส่งผลต่อลำดับในการพิจารณา
หรือในกรณีอื่นๆ เช่น มีการกลั่นแกล้งกล่าวหาว่า ผู้ต้องขังรายใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานเรือนจำ ข้อบังคับเรือนจำหรือระเบียบกรมราชทัณฑ์ ทำให้ผู้ต้องขังผู้นั้นถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดวินัย เป็นเหตุให้ผู้ต้องขังรายดังกล่าวขาดคุณสมบัติเป็นผู้ต้องขังที่ได้รับการพิจารณาให้ออกไปคุมขังยังสถานที่คุมขัง
ในขั้นตอนการพิจารณา โดยคณะทำงานพิจารณาการคุมขังในสถานที่คุมขัง
คณะทำงานพิจารณาการคุมขังในสถานที่คุมขัง อาจใช้อำนาจดุลพินิจกลั่นกรองการให้ผู้ต้องขังรายใดคุมขังในสถานที่คุมขัง และการเพิกถอนการคุมขังเสนอต่ออธิบดีเพื่อพิจารณาอนุมัติ ซึ่งระเบียบฯ เปิดช่องให้คณะทำงานในชั้นนี้พิจารณาด้วยการใช้ดุลพินิจในประเด็นต่างๆ
เช่น ให้พิจารณาความเหมาะสม พิจารณาพฤติการณ์ก่อนต้องโทษและขณะต้องโทษ ประเมินความเสี่ยงในการกระทาผิดซ้ำ ให้คะแนนความเสี่ยงในการหลบหนี ประเมินผลกระทบต่อสังคมหรือชุมชน เป็นต้น
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบของคณะทางาน ทั้ง 2 คณะ แล้ว พบว่า องค์ประกอบของคณะทำงาน จะเป็นเจ้าพนักงานของกรมราชทัณฑ์ มากกว่าผู้แทนส่วนราชการอื่นๆ และบุคคลภายนอก ในอัตราส่วน 9 : 3 ซึ่งอาจจะเป็นข้อจำกัดในการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้ดุลพินิจในระดับคณะทางาน และนำไปสู่การใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงนั้น การคุมขังในสถานที่คุมขัง นั้น ผู้ถูกคุมขังยังคงมีสถานภาพเป็นนักโทษเด็ดขาดอยู่ ย่อมมีความเสี่ยงต่อการหลบหนี จึงต้องอาศัยการมีส่วนร่วมตัดสินใจจากหลายๆ หน่วยงาน รวมถึงชุมชนที่จะเป็นสถานที่คุมขัง เนื่องจากชุมชนนั้นย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการคุมขังนักโทษในรายหนึ่งๆ จนเกิดความมั่นใจอย่างเพียงพอว่า การคุมขังในสถานที่คุมขังนั้น ๆ จะไม่ส่งผลเสียหายให้แก่ชุมชน และไม่นาไปสู่การกระทาผิดซ้ำหรือ การกระทาผิดเงื่อนไขการคุมขังในสถานที่คุมขัง
ข้อสังเกตเพิ่มเติม เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีการบริหารโทษประเภทอื่น ที่เป็นผลให้มีการนำนักโทษออกจากเรือนจำ จะมีการดำเนินการในลักษณะของคณะกรรมการ หรือคณะอนุกรรมการ ที่มีประธานคณะกรรมการหรือประธานคณะอนุกรรมการ องค์ประกอบ และการแต่งตั้ง ที่ผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการราชทัณฑ์ อาทิ
1.การคัดเลือกนักโทษเด็ดขาดที่จะสั่งให้ออกไปทำงานสาธารณะหรือการทำงานอื่นใด เพื่อประโยชน์ของทางราชการนอกเรือนจำ มีการดำเนินการในรูปแบบของ “คณะทำงาน” ที่ทำหน้าที่คัดเลือกนักโทษที่มีคุณสมบัติครบถ้วนก่อนเสนอให้ “คณะอนุกรรมการ” ซึ่งมี “อธิบดีกรมราชทัณฑ์หรือรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์” เป็นประธานอนุกรรมการ กลั่นกรองและอนุมัติอีกชั้นหนึ่ง11 ทั้งนี้ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการราชทัณฑ์ และประกาศคำสั่งแต่งตั้ง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
2.การพิจารณาวินิจฉัยลดวันต้องโทษจาคุก ซึ่งเป็นการปลดปล่อยออกไปก่อนครบกำหนดโทษ ตามคำพิพากษาศาลภายใต้เงื่อนไขคุมประพฤติ มีการดำเนินการในรูปแบบของ “คณะกรรมการคัดเลือก” ในระดับเรือนจำ ทำหน้าที่คัดเลือกนักโทษเด็ดขาดที่อยู่ในข่ายที่จะได้รับการลดวันต้องโทษจาคุก
เสนอต่อ “คณะกรรมการกลั่นกรอง” ที่มีรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ที่กากับดูแลสำนักทัณฑ์ปฏิบัติ เป็นประธาน ก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาของ “คณะอนุกรรมการพิจารณาลดวันต้องโทษจาคุก” ที่มีอธิบดีกรมราชทัณฑ์เป็นผู้แทนกรมราชทัณฑ์และผู้แทนจากหน่วยงานนอกอื่นๆ เป็นองค์ประกอบ ทั้งนี้ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการราชทัณฑ์ และประกาศคาสั่งแต่งตั้ง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
3.การพิจารณาเพื่อวินิจฉัยการพักการลงโทษ ซึ่งเป็นการปลดปล่อยออกไปก่อนครบกำหนดโทษตามคำพิพากษาศาลภายใต้เงื่อนไขคุมประพฤติ มีการดำเนินการในรูปแบบของ “คณะอนุกรรมการ” ซึ่งมี “ปลัดกระทรวงยุติธรรม” เป็นประธานอนุกรรมการ รวมถึงมีผู้แทนจากส่วนราชการต่างๆ ทั้งจากภายในและภายนอกกระทรวงยุติธรรม เป็นอนุกรรมการ
ทั้งนี้ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการราชทัณฑ์ และประกาศคำสั่งแต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยการพักการลงโทษยังมีองค์ประกอบซึ่งเป็นผู้แทนจากหน่วยงานภายนอกกรมราชทัณฑ์ มากถึง 12 คน จากจานวน 17 คน
นอกจากนี้ ความเสี่ยงการใช้ดุลพินิจเป็นปัญหาจากการไม่กาหนดหลักเกณฑ์/แนวทาง การพิจารณาหรือการดำเนินการที่ชัดเจน เพื่อให้เจ้าพนักงานสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระที่จะเลือกกระทาการหรือไม่กระทาการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ตัวอย่างหนึ่งปรากฏอยู่ในประกาศกรมราชทัณฑ์ เรื่อง กำหนดคุณสมบัติเฉพาะ ลักษณะต้องห้าม และวิธีการคุมขังผู้ต้องขังในสถานที่คุมขังตามระเบียบ กรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 พ.ศ.2568
เช่น การกำหนดให้ผู้ดูแลสถานที่คุมขังจะต้องผ่านการพิจารณา 1) ด้านความพร้อมในด้านการจัดการที่คุมขัง 2) ด้านการเงินและ 3) ด้านเวลาส่วนตัว ทั้งนี้ ยังไม่ปรากฏรายละเอียด/หลักเกณฑ์ที่ชัดเจนประกอบการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว เป็นต้น
อีกทั้ง การกำหนดความพร้อมด้านการเงินเป็นการสะท้อนว่า การดำเนินการตามระเบียบฯ อาจมีความเสี่ยงต่อการใช้ดุลพินิจเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้แก่ผู้ต้องขังที่ร่ำรวยหรือมีอิทธิพลส่วนตัว คือ ต้องมีเงิน/มีเวลา/มีความพร้อมเท่านั้น จึงจะได้รับการเสนอชื่อเพื่อพิจารณาคุณสมบัติ โดยมีความชอบธรรมรองรับว่า เมื่อมีเงิน มีเวลา เท่ากับมีความพร้อมให้คุมขังนอกเรือนจำ เป็นต้น
ประกอบกับการคุมขังในสถานที่คุมขัง เป็นการดำเนินการโดยอาศัยความสามารถทางเศรษฐกิจการเงินของผู้ต้องขัง/ผู้ดูแลสถานที่คุมขัง เพื่อบริหารจัดการสถานที่คุมขังนั้นๆ และเพื่อใช้ดูแลความเป็นอยู่ของผู้ถูกคุมขังในสถานที่คุมขัง
การดำเนินการดังกล่าว เป็นการผลักภาระในการพัฒนาพฤตินิสัยและภาระทางการเงินของภาครัฐไปยังผู้ต้องขัง/ผู้ดูแลสถานที่คุมขัง หรือไม่ ทั้งที่เมื่อบุคคลต้องโทษยังมีสถานะเป็นนักโทษอยู่ จึงต้องเป็นอำนาจหน้าที่ของภาครัฐที่จะต้องดาเนินการลงโทษ และปรับปรุงพฤตินิสัยของนักโทษนั้นๆ โดยอาศัยงบประมาณรัฐในการบริหารจัดการเรือนจำ
การบริหารจัดการการคุมขังโดยอาศัยเงินทุนของเอกชนเอง (ผู้ต้องขัง/ผู้ดูแลสถานที่คุมขัง) ย่อมเป็นการเลือกปฏิบัติ ในทางที่จะเอื้อประโยชน์แก่ผู้ต้องขัง/ผู้ดูแลสถานที่คุมขังที่มีสถานภาพทางเศรษฐกิจดี
และในท้ายที่สุดจะปรากฏเป็นลักษณะของการซื้อขายแลกเปลี่ยนอิสรภาพของมนุษย์ผู้กระทำความผิดทางอาญา โดยไม่มีหลักประกันหรือความรับผิดชอบต่อสังคม รวมถึงลดทอนประสิทธิภาพของภาครัฐในการแก้ไขปรับปรุงพฤตินิสัยของนักโทษและคืนคนดีสู่สังคม
ดังนั้น จึงนำมาสู่ข้อประเด็นปัญหาว่า การดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขังตามระเบียบดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อ “การใช้ดุลพินิจเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้แก่บุคคล” นำไปสู่การเลือกปฏิบัติ ต่อผู้ต้องขังในทางที่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ต้องขังที่ร่ำรวยหรือมีอิทธิพลส่วนตัว
@แนะ'กรมราชทัณฑ์'ปรับปรุงระเบียบฯคุมขังนอกเรือนจำ 2 ประเด็น
ข้อเสนอแนะ
จากข้อพิจารณาที่ปรากฏ เพื่อเป็นการดำเนินการตามนัยมาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 เพื่อเสนอให้การปรับปรุงแก้ไขระเบียบที่อาจนำไปสู่การทุจริตและประพฤติมิชอบ จึงได้มีข้อเสนอแนะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง ดังนี้
กรมราชทัณฑ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการเกี่ยวกับระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 และอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง ใน 2 ประเด็น
1) พิจารณาว่าการดำเนินการตามระเบียบฯ ต้องไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รวมตลอดถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
2) พิจารณากระบวนการออกระเบียบฯ ว่าได้ดำเนินการครบถ้วนตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้
ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า แนวคิดการบริหารโทษ และแนวคิดการคุมขังในสถานที่คุมขัง เป็นแนวคิดที่มีประโยชน์ โดยจะนำไปสู่การจัดการหรือบริหารโทษของผู้ต้องขังเฉพาะรายหรือเฉพาะคดีได้อย่างเหมาะสม และทำให้ระบบพัฒนาพฤตินิสัยและการบริหารงานเรือนจาเป็นไปตามเป้าหมายที่กาหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม การกำหนดนโยบายหรือทิศทางในการดำเนินการเรื่องดังกล่าว กรมราชทัณฑ์ควรคำนึงถึงประเด็นต่างๆ ดังนี้
1.การบริหารโทษ ที่นำไปสู่การปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังหรือให้มีการคุมขังนอกเรือนจำ ต้องคำนึงถึงการสร้างสมดุลระหว่างวัตถุประสงค์ของการลงโทษกับการแก้ปัญหาคนล้นคุก เพื่อให้ระยะเวลาขั้นต่ำมีประสิทธิภาพตามวัตถุประสงค์ของการคุมขัง
คือ เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้ชดเชยการกระทำของตนในเรือนจำ เพื่อป้องปรามไม่ให้กระทาผิดซ้ำในช่วงระยะเวลาดังกล่าว อันเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของสังคม โดยแยกผู้กระทำผิดออกจากสังคม เพื่อให้ผู้ถูกคุมขังได้รับการพัฒนาพฤตินิสัยในเรือนจำอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้การกำหนดโทษของศาลยังมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่
2.กรมราชทัณฑ์ ต้องลดโอกาสการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบในการบริหารงานเรือนจำและการบริหารโทษตามอำนาจหน้าที่ โดยจัดทำหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขหรือแนวทางการปฏิบัติต่างๆ ให้ชัดเจน โดยพิจารณาดำเนินการตาม “ข้อเสนอแนะการควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐในการปฏิบัติงานที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.” ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบ เมื่อวันที่ 25 ก.ค.2566
3.การดำเนินงานจำแนกลักษณะผู้ต้องขังจะเป็นข้อมูลสารสนเทศที่มีความสำคัญ เพื่อให้มีข้อมูลผู้ต้องขังแต่ละรายอย่างละเอียดและสมบูรณ์ สำหรับใช้ประโยชน์ในการบริหารงานเรือนจำ เพื่อให้เกิดการแยกการคุมขังในสถานที่ควบคุม และการบริหารโทษอย่างเหมาะสม
4.กรมราชทัณฑ์ ควรเร่งสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ
1) ข้อเท็จจริง ที่มา หลักการ เหตุผล และสาระสำคัญของการคุมขังในสถานที่คุมขัง สถานที่ที่จะเป็นสถานที่คุมขัง ตลอดจนขั้นตอนการดาเนินการ หน่วยงานภายนอก/หน่วยงานภายใน/คณะกรรมการหรือคณะทางานที่เกี่ยวข้อง องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการหรือคณะทำงานในแต่ละคณะ และกรอบระยะเวลาการดาเนินการในแต่ละขั้นตอน
2) ความชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นสถานภาพของผู้ถูกคุมขังในสถานที่คุมขังว่าบุคคลดังกล่าวยังคงมีสถานภาพเป็นนักโทษเด็ดขาดอยู่ และการนับระยะเวลาคุมขังในสถานที่คุมขังเป็นระยะเวลาจาคุก รวมทั้งความรับผิดของผู้ดูแลสถานที่คุมขัง ในกรณีที่ผู้ดูแลสถานที่คุมขังให้ความช่วยเหลือหรืออำนวย ความสะดวกให้ผู้ต้องขังกระทำผิดเงื่อนไข หรือเป็นเหตุให้ผู้ต้องขังกระทาความผิดทางอาญาหรือหลบหนีไป
ผู้ดูแลสถานที่คุมขังจะต้องถูกดำเนินคดีอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับความผิดที่เกิดขึ้นด้วย เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบ ตามสื่อสารมวลชนช่องทางต่าง ๆ ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย เพื่อร่วมตรวจสอบ ร่วมแสดงความคิดเห็น และมีส่วนร่วมดำเนินการ อันจะเป็นการสร้างความโปร่งใส ลดแรงต้านการดำเนินงานของกรมราชทัณฑ์จากภาคส่วนต่าง ๆ
5.ในระดับนโยบาย คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานกรรมการ โดยมีส่วนราชการต่างๆ เป็นคณะกรรมการ และมีสำนักงานกิจการยุติธรรมเป็นฝ่ายเลขานุการ ควรกำหนดแผนการดำเนินงาน ด้านกระบวนการยุติธรรมในภาพรวมของประเทศ เพื่อให้การพัฒนากระบวนการยุติธรรมมีความเป็นเอกภาพ
เหล่านี้เป็นรายละเอียดของ ‘ข้อเสนอแนะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการคุมขังในสถานที่คุมขังตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 และอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง’ ที่ ป.ป.ช. ได้เสนอให้ ครม.รับทราบ และมอบหมายให้ ‘กระทรวงยุติธรรม’ รับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
