
ครม.รับทราบ ‘มติบอร์ดนโยบายการเงินฯ’ ปรับเพิ่มเพดาน ‘ภาระหนี้ต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ’ เป็นไม่เกิน 50% จากเดิม 35% เหตุหนี้กระจุกตัว-ทยอยครบกำหนดจำนวนมาก ขณะที่ ‘สศช.’ ห่วงกระทบความน่าเชื่อถือ
.........................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ เมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม. มีมติรับทราบการทบทวนสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เสนอ
สำหรับการทบทวนสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1.สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ณ สิ้นเดือน ก.ย.2567 อยู่ที่ร้อยละ 63.32 ยังอยู่ภายใต้กรอบสัดส่วนปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ 70 และยังสามารถรองรับการกู้เงินเพิ่มเติมตามแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2569-2572 โดยยังเอื้อต่อการรักษาความสามารถในการชำระหนี้ตามมาตรฐานสากล จึงเห็นควรคงกรอบสัดส่วนตามเดิม ที่ไม่เกินร้อยละ 70
2.สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ มีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นต้นมา ตามการกู้เงินของรัฐบาลที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับการระดมทุนดังกล่าวต้องใช้เครื่องมือระยะสั้นในสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้นตามสภาพคล่องและความต้องการของนักลงทุนในช่วงที่ระดมทุน ส่งผลให้หนี้มีการกระจุกตัว และทยอยครบกำหนดเป็นจำนวนมาก
โดย ณ สิ้นเดือน ก.ย.2567 สัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่ร้อยละ 35.14 เกินกรอบสัดส่วนปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ 35 และจากประมาณการตามแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2569-2572 พบว่า สัดส่วนดังกล่าวจะเกินกรอบที่ร้อยละ 35 อีกครั้ง ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2570 เป็นต้นไป จึงเห็นควรขยายกรอบสัดส่วนจากเดิมที่ไม่เกินร้อยละ 35 เป็นไม่เกิน ร้อยละ 50
ทั้งนี้ รัฐบาลควรพิจารณาดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อรักษาระดับความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคตควบคู่ด้วย อาทิ การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ การก่อหนี้เพิ่มเติมเท่าที่จำเป็น การจัดสรรงบประมาณเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้น
3.สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด ณ สิ้นเดือน ก.ย.2567 อยู่ที่ร้อยละ 1.05 ยังอยู่ภายใต้กรอบสัดส่วนปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ 10 และยังสามารถรองรับการกู้เงินต่างประเทศเพิ่มเติมได้หากมีความจำเป็น จึงเห็นควรคงกรอบสัดส่วนตามเดิมที่ไม่เกินร้อยละ 10
4.สัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออก สินค้าและบริการ โดย ณ สิ้นเดือน ก.ย.2567 อยู่ที่ร้อยละ 0.05 ยังอยู่ภายใต้กรอบสัดส่วนปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ 5 และยังสามารถรองรับการกู้เงินต่างประเทศเพิ่มเติมได้หากมีความจำเป็น จึงเห็นควรคงกรอบสัดส่วนตามเดิมที่ไม่เกินร้อยละ 5

รายงานข่าวแจ้งว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของ ครม. ในเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า ธปท. พิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง เนื่องจากเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ครั้งที่ 4/2567 โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า การกำหนดสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณเป็นการกำกับดูแลความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาวินัย การเงินการคลังของรัฐ
ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารต่อสาธารณะให้เข้าใจถึงเหตุผลและความจำเป็นในการปรับเพิ่มสัดส่วนดังกล่าว เพื่อไม่ให้กระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ ทั้งนี้ ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ เพื่อให้สามารถรักษาระดับความสามารถในการชำระหนี้และวินัยการเงินการคลังควบคู่กันไปด้วย และอาจพิจารณาทบทวนสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณตามความเหมาะสมเมื่อบริบทเปลี่ยนไป
ขณะที่ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ให้ความเห็นว่า กรอบสัดส่วน ภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ เป็นกรอบวินัยการเงินการคลังเพื่อรักษาความสามารถในการชำระหนี้ (Debt affordability) ของรัฐบาลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และควบคุมความเสี่ยงด้านการปรับโครงสร้างหนี้ (Refinancing risk)
โดยการปรับกรอบสัดส่วนดังกล่าวจากเดิมไม่เกินร้อยละ 35 เป็นไม่เกินร้อยละ 50 อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและความน่าเชื่อถือของประเทศในภาพรวม ซึ่งยังคงมีแรงกดดันทางการคลังอยู่ในระดับสูง จากภาระหนี้ของรัฐบาลและหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลรับภาระเพิ่มสูงขึ้น
ดังนั้น สศช. เห็นว่า การปรับกรอบสัดส่วนดังกล่าวควรเป็นการปรับกรอบ เป็นการชั่วคราว โดยภาครัฐควรมีเป้าหมายและแนวทางการเร่งรัดการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง โดยเฉพาะการให้ความสำคัญต่อการลดขนาดการขาดดุลงบประมาณ การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ ตลอดจนการจัดสรรงบชำระหนี้ของรัฐบาลให้สอดคล้องกับขนาดของมูลหนี้และดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีงบประมาณ
โดยเฉพาะการจัดสรรงบชำระคืนต้นเงินกู้ของรัฐบาล ให้เพิ่มขึ้นเพื่อลดภาระหนี้ของรัฐบาลในระยะต่อไปที่ชัดเจน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินการด้านวินัย การเงินการคลังของรัฐและการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในภาพรวมต่อไป

อ่านประกอบ :
รายจ่ายเพิ่ม-หนี้สาธารณะสูง! เปิดรายงานความเสี่ยง‘การคลัง’ปี 67-แนะปฏิรูปโครงสร้างรายได้
ครม.รับทราบ‘หนี้สาธารณะ’ส.ค.67 แตะ 11.72 ล้านล.-64.02% ต่อจีดีพี-'คลัง'ชี้กู้กระตุ้นศก.
