ครม. รับข้อเสนอแนะ ‘กสม.’ ชงแก้ปัญหา‘สถานที่ควบคุมตัว’ แนะรื้อ กม.แยก ‘ผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี’ ออกจาก ‘ผู้ต้องขังเด็ดขาด’ พร้อมเสนอให้ ‘ตร.’ เร่งรัดก่อสร้าง ‘สถานกักตัวคนต่างด้าว’ แห่งใหม่
............................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม. มีมติรับทราบข้อเสนอแนะจากการตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัว ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสนอ และมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว ก่อนนำเสนอให้ ครม.พิจารณาต่อไป
พร้อมกันนั้น ครม.ได้มอบหมายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยกระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการให้ผู้ต้องกัก (คนต่างด้าวที่เข้ามาหรืออยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการอนุญาตได้สิ้นสุดหรือถูกเพิกถอนแล้วและพนักงานเจ้าหน้าที่ได้กักตัวไว้เพื่อรอการส่งกลับออกไปนอกราชอามาจักร) เข้าถึงกลไกคัดกรองระดับชาติให้แล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ เพื่อให้ได้รับสถานะ “ผู้ได้รับการคุ้มครอง” ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ.2562
รวมทั้งให้จัดทำทะเบียนประวัติคนต่างด้าวและพิจารณาอนุญาตให้ออกไปทำงานได้โดยจำกัดพื้นที่ตามความจำเป็นเหมาะสม ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งขยายความร่วมมือกับประเทศที่สามในการหาทางออกที่ยั่งยืนให้แก่ผู้หนีภัยกลุ่มต่างๆ ในประเทศไทยด้วย
สำหรับสาระสำคัญของข้อเสนอแนะจากการตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวของ กสม. มีดังนี้
1.ให้เพิ่มบุคลากรทางการแพทย์เพื่อสามารถครอบคลุมช่วงเวลาการทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน และให้มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลปัญหาสุขภาพจิต
2.เร่งรัดให้ผู้ต้องกักเข้าถึงกลไกคัดกรองระดับชาติ เพื่อให้ได้รับสถานะ “ผู้ได้รับการคุ้มครอง” โดยไม่เลือกปฏิบัติ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ.2562 ทั้งนี้ ต้องจัดทำทะเบียนประวัติคนต่างด้าวและอนุญาตให้ออกไปทำงานได้โดยจำกัดพื้นที่ ตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 63 (2) ประกอบ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 55วรรคสาม
จัดให้ผู้ต้องกักติดต่อสื่อสารกับญาติหรือบุคคลภายนอกได้ ตามข้อกำหนดแมนเดลา ข้อ 58 รวมถึงเร่งขยายความร่วมมือกับประเทศที่สามในการหาทางออกที่ยั่งยืนให้แก่ผู้หนีภัยกลุ่มต่างๆ ในประเทศไทย และปรับปรุงการใช้มาตรการทางเลือกแทนการกักตัวเด็กและครอบครัวในห้องกักตรวจคนเข้าเมือง ตามที่ให้คำมั่นไว้ในการประชุมเวทีผู้ลี้ภัยโลก (Global Refugee Forum: GRF) ครั้งที่ 2
3.เพิ่มอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอและเหมาะสมต่อลักษณะและปริมาณงานของสถานที่ควบคุมตัว รวมถึงหามาตรการสร้างขวัญกำลังใจแก่บุคลากรที่ปฏิบัติงานในสถานที่ควบคุมตัว
4.เร่งปรับปรุงกฎกระทรวงที่ออกตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 84/1 เพื่อจำแนกผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีออกจากผู้ต้องขังเด็ดขาด และให้ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างอย่างเหมาะสม
5.ในพื้นที่ซึ่งประกาศใช้กฎหมายในสถานการณ์พิเศษ ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อผู้ถูกควบคุมตัว โดยได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานตั้งแต่ขณะแรกเมื่อถูกจับกุม เชิญตัว หรือควบคุมตัวให้สอดคล้องกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และปรับเปลี่ยนสถานที่และรูปแบบการดำเนินการซักถามให้เหมาะสม รวมถึงกำชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 อย่างเคร่งครัด
6.สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดการก่อสร้างสถานกักตัวคนต่างด้าวแห่งใหม่ในพื้นที่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ให้แล้วเสร็จ
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับข้อเสนอแนะของ กสม. ในเรื่องดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องจากในช่วงเดือน ก.ย.2565-มิ.ย.2566 กสม. ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัว 16 แห่ง ประกอบด้วยเรือนจำ 5 แห่ง ห้องกักสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 4 แห่ง สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน 2 แห่ง สถานที่คุ้มครองกลุ่มคนเปราะบาง 2 แห่ง และศูนย์ชักถาม ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 3 แห่ง
โดย กสม. ได้ทราบข้อเท็จจริงและสภาพปัญหารวม 8 ประเด็น ได้แก่ 1.ปัญหาความแออัดและความไม่เหมาะสมของสถานที่ควบคุมตัว 2.ปัญหาการบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข 3.ปัญหาการกักตัวโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา 4.ปัญหาการกักตัวเด็กในห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 5.ปัญหาด้านบุคลากร 6.ปัญหาด้านงบประมาณ 7.ปัญหาการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี และ 8 ปัญหาการปฏิบัติต่อผู้ถูกควบคุมตัวในพื้นที่ซึ่งประกาศใช้กฎหมายในสถานการณ์พิเศษ