“... การเลือกตั้งครั้งนี้จะช่วยให้เรากลับสู่ประชาธิปไตยเร็วขึ้น เมื่อส.ว.ไม่โหวตเลือกนายกฯ แล้วเมื่อส.ว.หมดวาระในปีหน้า เราจะแก้รัฐธรรมนูญแล้วอะไรก็แล้วแต่ ที่เคยเป็นอุปสรรคขัดขวางประชาธิปไตย เราจะแก้ได้หมดเลยแล้วเราก็จะกลับสู่ประชาธิปไตยเต็มใบอีกครั้งหนึ่ง เริ่มจากการเลือกตั้งครั้งนี้ให้โปร่งใส…”
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 เครือข่ายภาคประชาชน โดย iLaw, We Watch, ACTLAB และ ทะลุฟ้าจัดกิจกรรม "เข้าคูหา จับตา การเลือกตั้ง 2566 Protect Our Vote" เป็นการแถลงเจตนารมณ์ร่วมขององค์กรภาคประชาสังคมรวม 101 องค์กรในนาม “เครือข่ายประชาชนสังเกตการณ์การเลือกตั้งปี 2566”
โดยหนึ่งในไฮไลท์สำคัญคือ การเสวนาในหัวข้อ ‘เข้าคูหา จับตา เลือกตั้ง 66’ มีผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และรศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้เสวนาหลัก
มีสาระสำคัญ ดังนี้
@ปริญญา เทวานฤมิตรกุล: ส.ว.-กกต. ผลไม้พิษจากกรธ.
ผศ.ดร.ปริญญา เปิดประเด็นว่า ระบบเลือกตั้งในปี 2566 นี้แตกต่างไปจากการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562 ทำให้ประเด็นเรื่องการจัดการเลือกตั้ง ระบบเลือกตั้ง และการเลือกนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้ง เปลี่ยนแปลงไปพอสมควร ไม่ว่าจะการเปลี่ยนบัตรเลือกตั้งเป็นบัตรสองใบคือ บัตรแบบแบ่งเขตและพรรคการเมือง การเลือกตั้งในปี 2562 มีหลักการที่ผิดเพี้ยนไปคือ พรรคพลังประชารัฐที่มีส.ส. 116 เสียงจากส.ส. 500 คน แต่ผลักดันให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรีจากการสนับสนุนของ ส.ว. 250 คน แต่ภูมิทัศน์ในแง่ของตัวผู้เล่นปัจจุบันแตกต่างออกไป
“ผมฟังท่านนายกฯ ปราศรัยเมื่อวานนี้ (9 ม.ค.66) บนเวที ข้อสำคัญคือ ท่านบอกว่า ท่านเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความเท่าเทียม ผมก็สงสัยว่า เราเท่าเทียมกันอย่างไร ในเมื่อท่านมีส.ว.ที่ท่านเลือกไว้ ถ้าท่านจะเท่าเทียมจริง เอาล่ะ ถ้าท่านยึดในมั่นในระบอบประชาธิปไตยจริงแล้วท่านปฏิวัติทำไมเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ถ้าท่านยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย แต่ข้อสำคัญคือ ส.ว.ของท่าน ถ้าท่านยืนยันที่แล้วก็แล้วไป จากนี้ไปท่านประกาศได้ไหมว่า ส.ว.จะไม่ยุ่งเกี่ยวให้ประชาชนตัดสิน หากท่านเป็นเสียงข้างมาก โอเคท่านเป็นนายกฯ ต่อไป พรรคไหนได้เสียงข้างมากก็เป็นรัฐบาลไป ไม่ใช่เป็นนายกฯ ด้วยเสียงส.ว.ของท่าน” ผศ.ดร.ปริญญากล่าวตอนหนึ่ง
ผศ.ดร.ปริญญา ระบุต่อว่า ระบบเลือกตั้งเป็นบัตรสองใบเกี่ยวข้องกับปัญหาของการเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมา ระบบแบบปี 2562 นั้นมีบัตรใบเดียวคือ บัตรแบบเขตทำให้มีผู้สมัครมากในหนึ่งเขต จากปกติ 7-8 คนเพิ่มเป็น 28 คน มากสุดหนึ่งเขตมี 44 คน เหตุเช่นนี้เพราะคะแนนแบบแบ่งเขตจะนำมาคำนวณ ส.ส.พึงมี ใช้เขตแสวงหาคะแนนให้พรรคการเมือง เมื่อผู้สมัครมากขึ้นส่งผลให้บัตรเลือกตั้งมีรายละเอียดมากขึ้น การจัดการเลือกตั้ง กกต.ผิดพลาดเยอะมาก เช่น เรื่องคุณสมบัติในการสมัครซึ่งมีหลุดบ้างเนื่องจากผู้สมัครมีจำนวนมากจากหลักพันเป็นหลักหมื่น
ผศ.ดร.ปริญญา เชื่อว่า เมื่อเปลี่ยนระบบมาเป็นบัตรสองใบ ข้อผิดพลาดจะลดลง หลักการของการเลือกตั้งซึ่งตั้งแต่มี กกต.ในปี 2540 วางอยู่บนหลักการเลือกตั้งจะโปร่งใสได้ก็ต่อเมื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ตัดตรงนี้ออกหมดและนำผู้ตรวจการเลือกตั้งมาแทน ยกเลิกกกต.จังหวัด ตัดภาคประชาชนทิ้งไป มีวิธีการพิสดารต่างๆ จนเกิดปัญหาเยอะ
ที่เป็นแบบนี้ เดาว่า ทางนายมีชัยเชื่อในระบบแบบราชการเลยให้ราชการมาตรวจ โดยไม่เชื่อประชาชนเลยตัดประชาชนทิ้ง ปัจจุบันกฎหมายยังไม่เปลี่ยน แต่จากการพูดคุยเชื่อว่า สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เห็นปัญหาดังกล่าว และการนำหลักการการสังเกตการณ์กลับมาจะทำให้ป้องกันการโกงได้ แต่จนถึงตอนนี้ กกต.ยังไม่พูดออกมา ดังนั้นเครือข่ายภาคประชาชนควรเข้าไปหาและขอเข้าไปมีส่วนร่วม เราไม่มีอะไรมากเลย ขอเพียงให้ประชาชนเลือกอย่างไรให้ผลออกมาตามนั้น ในแง่ของนโยบายสำนักงานกกต.น่าจะมีการเปิดกว้างมากกว่าครั้งที่ผ่านมา
“ผมคิดว่าเครือข่ายภาคประชาชนต้องเข้าไปทวงถามกับ กกต. ว่าคราวที่แล้ว ไม่ยอมให้ประชาชนมีส่วนรวม ปัญหาเลยเยอะ แต่คราวนี้ประชาชนเราขอเข้าไปมีส่วนร่วม เราไม่มีอะไรมาก ขอเพียงแค่ประชาชนเลือกอย่างไรและให้ผลออกมาตามนั้น” ผศ.ดร.ปริญญาระบุ
ภาพจาก: สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
นอกจากนี้ ผศ.ดร.ปริญญา ยังกล่าวอีกว่า กกต. ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของนายมีชัย มีการเพิ่มจำนวนเป็น 7 คน ที่สำคัญคือมีลักษณะเป็นบอร์ด ไม่ค่อยทำงาน แต่เน้นประชุมและทำงานสำนักงาน ไม่เหมือนกับ กกต. ที่ผ่านมาที่มีการแบ่งฝ่ายต่างๆ เช่น ฝ่ายส่งเสริมการเรียนรู้และประชาธิปไตย ฝ่ายการมีส่วนร่วม ฝ่ายพรรคการเมือง และอื่นๆ แต่ชุดนี้ไม่มี ไม่มีการปฏิบัติ พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องไปพูดคุยกับ กกต. ทั้ง 7 คน แต่พูดกับเลขาฯ กกต. แทน
@ประยุทธ์-ประวิตร มีโอกาสกลับมาสูง
ส่วนประเด็นส.ว. ชุดนี้ จะมีวาระถึงวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 และระหว่างนี้ยังมีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีและองค์กรอิสระอยู่ ทำให้สมการการเลือกนายกรัฐมนตรียังคงเป็นแบบเดิมเหมือนปี 2562 ผศ.ดร.ปริญญามองว่า การแตกคอของสอง ป. อย่างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อถึงเวลาจะมีคนหนึ่งที่ถอย ทำให้เสียงของ ส.ว.ยังไม่แตกออก อย่างไรก็ตามทั้งสองอาจจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่ถ้ามีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรไม่ถึง 250 คนจะทำงานไม่ได้และอาจถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ดังนั้นจึงต้องทำให้มีเสียงส.ส. 250 คน แต่อาจจะเกิดการ “ดูดเอาดาบหน้า” อย่างไรก็ตามพล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนายกฯ ต่อไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ เลือกตั้งโปร่งใสและส.ว.ต้องออกเสียงตามเสียงข้างมาก อันเป็นการป้องกันรัฐประหารไปด้วย
“ที่พล.อ.ประยุทธ์ไม่อ่านคำปฏิญาณว่า จะพิทักษ์ไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไม่ใช่เพิ่งไม่อ่าน แต่บรรดาแม่ทัพ นายกองสิบปีมาแล้วเขาไม่อ่านแล้ว ในการรับตำแหน่งผบ.เหล่าทัพต่างๆ ประโยคนี้ไม่มีมานานแล้ว ทหารต้องปฏิญาณตนว่า จะพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ผมคิดว่า รัฐประหารกับส.ว.เป็นเรื่องที่ต้องไปด้วยกัน ต้องให้ส.ว.รับปากกับประชาชนตั้งแต่ก่อนหน้าการเลือกตั้ง” ผศ.ดร.ปริญญาระบุอีกช่วงหนึ่ง
@ภาคประชาชนร่วมผู้ตรวจการเลือกตั้ง ทำเลือกตั้งโปร่งใส
ในช่วงท้าย ผศ.ดร.ปริญญา กล่าวว่า การสังเกตการณ์การเลือกตั้งเป็นเรื่องสำคัญและทำได้ ไม่เกี่ยวกับข้างไหน อยู่ข้างไหนก็ได้รับประโยชน์เช่นกัน อยากจะเสนอไว้ข้อหนึ่งคือ เรื่องผู้ตรวจการเลือกตั้ง แต่ละจังหวัดจะมี 5 หรือ 8 คน แล้วแต่จำนวนประชากร จึงขอชวนให้ภาคประชาชนลองร่วมมือกับผู้ตรวจการเลือกตั้ง เท่าที่เคยคุยกับผู้ตรวจการเลือกตั้งเขาก็มีความรู้สึกเหมือนกับว่า ทำอะไรไม่ได้ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ถ้าภาคประชาชนสามารถร่วมมือกับผู้ตรวจการเลือกตั้งผมว่า โอกาสสำเร็จมีแล้วนะในการทำการเลือกตั้งให้โปร่งใส
“การเลือกตั้งครั้งนี้จะช่วยให้เรากลับสู่ประชาธิปไตยเร็วขึ้น เมื่อส.ว.ไม่โหวตเลือกนายกฯ แล้วเมื่อส.ว.หมดวาระในปีหน้า เราจะแก้รัฐธรรมนูญแล้วอะไรก็แล้วแต่เป็นอุปสรรคขัดขวางประชาธิปไตย เราแก้ได้หมดเลยแล้วเราก็จะกลับสู่ประชาธิปไตยเต็มใบอีกครั้งหนึ่ง เริ่มจากการเลือกตั้งครั้งนี้ให้โปร่งใส” ผศ.ดร.ปริญญาทิ้งท้าย
@สิริพรรณ นกสวน สวัสดี: ระบบเลือกตั้ง 2562 ทำลายประชาธิปไตยไทย
ขณะที่ รศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่เปลี่ยนระบบการเลือกตั้งบ่อยอยู่ในระดับ 5 อันดับแรกของโลก ซึ่งไม่ได้เป็นผลดีนัก
เพราะทุกครั้งที่เปลี่ยนประชาชนต้องทำความเข้าใจใหม่ ถ้าย้อนกลับไปก่อนรัฐธรรมนูญ 2540 ไทยใช้ระบบเลือกตั้งแบบ 1 เขต 3 คน พรรคการเมืองส่งได้ 3 ชื่อ ทางวิชาการมองว่า ทำให้เกิดการแข่งขันกันเองในระบบพรรคการเมือง ตรงนี้ก็ยกเลิกไปและเปลี่ยนมาเป็นแบบคู่ขนานในการเลือกตั้ง 2544 และ 2548 คล้ายกับการเลือกตั้ง 2566 ต่างตรงที่ 2544 และ 2548 มีเกณฑ์ขั้นต่ำ 5 % ที่ถูกมองว่าเอื้อต่อพรรคใหญ่และพรรคที่มีชื่อเสียงติดหูและมีทรัพยากรในการหาเสียงในระดับประเทศ ตามด้วยการรัฐประหารในปี 2549 และเปลี่ยนระบบการเลือกตั้ง จากนั้นเปลี่ยนระบบอีกครั้งในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่ใช้ในการเลือกตั้ง 2554
เมื่อมีการรัฐประหาร 2557 นำไปสู่รัฐธรรมนูญ 2560 และเซ็ตระบบเลือกตั้งแบบใหม่อีกรอบ รศ.ดร.สิริพรรณระบุว่า ขอไม่เรียกระบบการเลือกตั้ง 2562 ว่า ระบบเลือกตั้งแต่ขอเรียกว่า เป็น “เทคนิคเลือกตั้ง” เพราะไม่มีประเทศไหนในโลกเลยที่ใช้ระบบเลือกตั้งนี้ ข้อเสียของระบบจัดสรรปันส่วนผสมเป็นระบบที่ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ เพราะเน้นตัวบุคคลและรากเหง้าซากเดนของปัญหายังสืบทอดจนถึงปัจจุบัน
“ทำไมทุกวันนี้เราจึงเห็นการย้ายพรรคแบบไร้ยางอาย การซื้อส.ส. การซื้อผู้สมัครบ้านใหญ่ เพราะเป็นผลพวงของระบบเลือกตั้งปี 2562 ที่เน้นตัวบุคคล เวลาเราเลือกเรามีบัตรใบเดียว เขาเลือกส.ส.เขต ส่วนบัญชีรายชื่อเอาคะแนนส.ส.ทั้งหมด ไม่ว่าจะสอบได้ สอบตก บางเขต บางพรรคเข้าไปดูได้ 5 คะแนน แต่คะแนนเหล่านี้ยังมีความหมาย ในปี 2562 มีผู้สมัครเป็นหมื่นๆ คนเพราะทุกคะแนนไม่ตกน้ำ ซึ่งเป็นข้ออ้างของผู้ร่างระบบเลือก แต่ตั้งคำถามคือ คะแนนไม่ตกน้ำ มันดีตรงไหน ในระบบเลือกตั้งคือ ระบบที่คัดผู้ชนะ ไม่ใช่ให้โบนัสแก่ผู้แพ้ คือแพ้ก็ได้ประโยชน์อยู่ ทำให้ตัวบุคคลมีความสำคัญมาก ทำให้บ้านใหญ่ ผู้มีอิทธิพล เจ้าพ่อเจ้าแม่กลับมาบูมอีกครั้งหนึ่ง” รศ.ดร.สิริพรรณระบุ
รศ.ดร.สิริพรรณ กล่าวอีกว่า ประการที่ 2 ลดทอนความเป็นสถาบันของพรรคการเมือง ทำให้พรรคการเมืองจ้องไปดึงตัวผู้สมัครเข้ามา ครั้งที่แล้วแข่งขันกันในเชิงนโยบายก็จริง แต่ว่าถ้าใช้ระบบเลือกตั้งนั้นไปเรื่อยๆ นโยบายของพรรคจะลดความสำคัญลง และทำให้เกิดการแข่งขันกันเองในพรรค ยกตัวอย่างพรรคอนาคตใหม่ที่เวลานั้นผู้สมัครแบบแบ่งเขตมีโอกาสชนะน้อย จึงอยากลงแบบบัญชีรายชื่อมากกว่า
"ในเรื่องการจัดการเลือกตั้ง ขอเห็นไม่ตรงกับอาจารย์ปริญญา ในประเด็นที่หลายคนเชื่อว่า กกต.จงใจให้เกิดการปัดเศษ แต่ขอยืนยันว่า กกต.คำนวณถูกแล้ว ไม่ได้คำนวณผิด เอกสารของกกต.ออกมาก่อนหน้านั้นโดยอธิบายวิธีการคำนวณ การที่มีพรรคปัดเศษไม่ใช่เป็นการคำนวณผิดหรือจงใจเอื้อประโยชน์ของกกต. ปัญหาอยู่ที่การเขียนระบบเลือกตั้งแต่แรก แต่กกต.มีความผิดผลาดแน่นอน อย่างไรก็ตามเพื่อความโปร่งใส เรียกร้องให้กกต.ออกหนังสือการจัดสรรที่นั่งออกมาก่อนการเลือกตั้ง 2566"
"สิ่งที่ระบบการเลือกตั้ง 2562 ทำลายประชาธิปไตยมากที่สุดคือ การทำให้มีพรรคการเมืองจำนวนมาก ไทยกลายเป็นประเทศที่มีพรรคร่วมรัฐบาลจำนวนมาก คือ 19 พรรค ก่อนหน้านี้นักวิชาการประเมินว่า รัฐบาลไม่น่าจะอยู่รอดเนื่องจากจะต้องมีการรอมชอมประนีประนอม แต่ทุกวันนี้มีการปลูกกล้วยกันเต็มสภา ในที่สุดก็อยู่มาได้และทำท่าจะไปต่อ คำถามคือ แม้ว่าจะอยู่รอดครบเทอม แต่ปัญหาคือ ประสิทธิภาพของการบริหาร ความอยู่รอดตั้งอยู่บนการต่อรองและการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์มากกว่าความอยู่รอดเพื่อการบริหารประเทศ ทั้งหลายทั้งปวงเป็นผลพวงของระบบเลือกตั้ง มันสำคัญเนื่องจากเป็นเครื่องมือแรกที่เข้าสู่อำนาจทางการเมือง เครื่องมือที่ทำให้รัฐบาลเข้าสู่อำนาจในลักษณะหนึ่งก็จะได้รัฐบาลแบบหนึ่ง ถ้าเปลี่ยนเครื่องมือจะได้รัฐบาลอีกแบบหนึ่ง เชื่อว่า ถ้าเปลี่ยนระบบเลือกตั้งเป็นอีกแบบหนึ่งหน้าตาของรัฐบาลก็เปลี่ยนไปได้"
"อีกเรื่องหนึ่งคือการจัดการเลือกตั้งที่มีปัญหา ประการแรก บัตรเลือกตั้งส.ส.แบบแบ่งเขตและพรรคการเมืองคนละเบอร์ มองว่า เป็นความจงใจที่ทำให้พรรคการเมืองลดความสำคัญลงในใจคน ประการที่ 2 คือ ความรู้ความเข้าใจของกกต. ถ้าจำกันได้กกต.มี 2 เรื่องหลักๆ คือ การนับบัตรที่ส่งมาจากต่างประเทศและบอกมาไม่ทันไม่นับ มันไม่ได้ในทางหลักการ เมื่อเทียบกับหลายประเทศ ต่อให้ปิดคูหาสองทุ่ม แต่สองทุ่มยังมีคนรอคิวอยู่ก็ให้ลง แม้ว่าบัตรจะเดินทางมาช้าก็ต้องนับ"
ส่วนประการที่ 3 รศ.ดร.สิริพรรณ ระบุว่า ครั้งที่แล้วกกต.ประกาศผลเลือกตั้งแค่ 90% ซึ่งไม่ได้ต้องประกาศให้ครบ 100% นี่คือตัวอย่างของความรู้ความเข้าใจของกกต. และประการที่ 4 เรื่องของความโปร่งใสและความเป็นธรรม มีความสำคัญมากในแง่ของการเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ พรรคการเมืองตรวจสอบได้
@หวังเห็นการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ
รศ.ดร. สิริพรรณระบุด้วยว่า "อยากเห็นการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ ไม่เกิดความรุนแรง สิ่งที่กลัวที่สุดในการเลือกตั้งครั้งหน้า คือปัญหาการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ การถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติคือการเปลี่ยนอำนาจทางการเมืองจากขั้วหนึ่งไปยังอีกขั้วหนึ่ง ถ้ามองย้อนหลังการเมืองใน 20 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยมีการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ มีการเกิดรัฐประหารหรือการชุมนุมทางการเมืองในทุกครั้งของการถ่ายโอนอำนาจ ซึ่งเราไม่เรียกว่าสันติ และครั้งนี้ หลังการเลือกตั้งจะยอมรับให้พรรคการเมืองหรือขั้วการเมืองที่ได้รับเสียงมากที่สุดของประชาชนจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่? ถ้าไม่ยอมโดยยังใช้เสียง สว. จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่"
“ภายใต้บรรยากาศทางการเมืองที่ไม่มีความละอาย ไม่มีความรู้สึกผิด ไม่คำนึงถึงความชอบธรรมทางการเมืองใดๆ และยังมีสว. 250 คนอยู่ในมือ ถึงจะแตกเป็นสองฝั่งก็ตาม ถึงเวลามี สว. ท่านหนึ่งออกมาพูดว่า ‘น้ำบ่อไหน ก็จะไปลงที่น้ำบ่อนั้น’ หมายความว่า น้อยมากที่จะมี ส.ว. แตกแถวมาเลือกในฝั่งที่เคารพเสียงของประชาชน คำถามคือ แล้วประชาชนจะทำอะไรเราพร้อมที่จะรับความไม่สงบใดๆ ต่อจากนี้หรือไม่” รศ.ดร.สิริพรรณปิดท้าย
เหล่านี้ คือ มุมมองของนักวิชาการทั้ง 2 ราย เกี่ยวกับศึกเลือกตั้งครั้งใหม่ ที่จะถึงในปี 2566 นี้ โดยมีอนาคตประเทศเป็นเดิมพัน
อ่านประกอบ