ครม.เห็นชอบกลไกขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติกในห้างฯ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2563 ทส. เตรียมยกร่างพ.ร.บ.จัดการขยะพลาสติก กำหนดเป้าหมดไปจากท้องตลาด ปี 2564 คาดปริมาณขยะถุงพลาสติกหูหิ้วลดลง 45,000 ล้านใบ/ปี หน่วยงานภาครัฐประหยัดงบฯ ได้ 340 ล้านบาท/ปี
วันที่ 12 พ.ย.คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบกลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติกในห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต และ ร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป เพื่อเป็นนโยบายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการดำเนินงานเพื่อลดและเลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single – Use Plastic) ที่ก่อให้เกิดผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้ Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 – 2573
2. มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการดำเนินงาน ดังนี้
2.1 มอบหมายให้สำนักนายกรัฐมนตรี โดยกรมประชาสัมพันธ์ ทส. โดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด และสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค และกระทรวงมหาดไทย (มท.) โดยผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมมือกับภาคเอกชนในการรณรงค์และประชาสัมพันธ์การสร้างการรับรู้ และความเข้าใจมาตรการดังกล่าวกับผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
2.2 มอบหมายให้ ทส. โดยกรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายภาคเอกชน 43 ราย พิจารณากำหนดแนวทางและวิธีการปฏิบัติสำหรับมาตรการงดให้ถุงพลาสติก
3. ให้ ทส. โดยกรมควบคุมมลพิษและกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานในการติดตามผลและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ
สาระสำคัญของเรื่อง
ทส. รายงานว่า
1. ทส. โดยกรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม จัดประชุมการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติกเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2562 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม มีผู้เข้าร่วมประชุมมากกว่า 250 คน เป็นผู้แทนจากศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบกลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติก ทั้งนี้ กรมควบคุมมลพิษได้นำเสนอกลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติกดังกล่าว ต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2562 โดยที่ประชุมมีมติรับทราบและเห็นชอบกลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติก พร้อมทั้งให้ ทส. นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
2. กลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติกมีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 ทส. โดยกรมควบคุมมลพิษและกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมประชุมหารือร่วมกับภาคีเครือข่าย 43 ราย เพื่อกำหนดแนวทาง วิธีการปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับมาตรการงดให้ถุงพลาสติก โดยแนวทาง วิธีการที่จะดำเนินการขึ้นอยู่กับห้างร้านที่จะพิจารณาเลือกแนวทางวิธีการที่เหมาะสม แต่ต้องเป็นไปตามหลักการ งดให้ถุงพลาสติก รวมทั้งการกำหนดวิธีการปฏิบัติผ่อนผัน การรองรับที่ชัดเจนสำหรับภาชนะหรือถุงบรรจุของร้อน อาหารเปียก เนื้อสัตว์ และผลไม้
2.2 การสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
2.2.1 ให้กรมประชาสัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนภาคเอกชนร่วมกันรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับผู้บริโภคและผู้ประกอบการในช่วง 4 เดือนก่อนหยุดให้ถุงพลาสติกในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และพื้นที่ 76 จังหวัด ทั่วประเทศ
2.2.2 สำหรับผู้ประกอบการห้างอื่น ๆ (นอกเหนือจาก 43 ราย) รวมทั้งร้านขายของชำและตลาดสด ให้กรมประชาสัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และภาคเอกชน ร่วมกันรณรงค์และประชาสัมพันธ์ รวมทั้งจัดส่งข้อมูลแนวทางการประชาสัมพันธ์ให้กับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดและสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค เพื่อร่วมกับภาคเอกชนในจังหวัดร่วมประชาสัมพันธ์ระหว่างเดือนมกราคม-ธันวาคม 2563
2.3 ทส. โดยกรมควบคุมมลพิษและกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจและรับฟังความคิดเห็นจากผู้ว่าราชการจังหวัด ในการดำเนินมาตรการงดให้ถุงพลาสติกในห้างอื่น ๆ รวมทั้งร้านขายของชำและตลาดสดในพื้นที่ในลักษณะ Road – show ใน 4 ภูมิภาค คือ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ เพื่อนำไปเป็นข้อมูลประกอบการยก (ร่าง) พระราชบัญญัติการจัดการขยะพลาสติกโดยกำหนดเป้าหมายให้ถุงพลาสติกหูหิ้วหมดไปจากท้องตลาด ในวันที่ 1 มกราคม 2564
2.4 ทส. โดยกรมควบคุมมลพิษประชุมหารือร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมพลาสติกไทย สถาบันพลาสติก และกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อหาแนวทางการใช้วัสดุทดแทนพลาสติกและส่งเสริมการนำพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้สำหรับกระบวนการ Pyrolysis ในการหลอมขยะพลาสติกให้เป็นน้ำมัน และนำน้ำมันมาผลิตเม็ดพลาสติก (พลาสติกมีส่วนประกอบหลักทางเคมีเหมือนกับน้ำมัน ดังนั้น ถ้าหากนำพลาสติกไปเผาแล้วกลั่นแยกส่วนจะได้ผลผลิตเป็นน้ำมัน แต่ ณ ตอนนี้ยังไม่คุ้มค่ากับการลงทุนเนื่องจากน้ำมันมีราคาถูก จึงเป็นการศึกษาเพื่อพิจารณาทางเลือก)
2.5 ทส. โดยกรมควบคุมมลพิษเร่งจัดทำกฎหมายเพื่อใช้ในการบริหารจัดการขยะพลาสติก โดยการทบทวน ปรับปรุง (ร่าง) พระราชบัญญัติส่งเสริมการลดและนำของเสียมาใช้ประโยชน์ พ.ศ. .... เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
2.6 ผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ ปริมาณขยะถุงพลาสติกหูหิ้วลดลง 45,000 ล้านใบต่อปี ส่งผลให้ปริมาณขยะที่ต้องนำไปกำจัดลดลง 225,000 ตันต่อปี และหน่วยงานภาครัฐประหยัดงบประมาณในการจัดการขยะมูลฝอยได้ 340 ล้านบาทต่อปี รวมทั้งประหยัดพื้นที่รองรับและกำจัดขยะมูลฝอยในการฝังกลบได้ประมาณ 616 ไร่
2.7 ดำเนินการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการดำเนินการ
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/