ทีมแพทย์สหรัฐฯเชื่อโควิดโอไมครอน XBB.1.16 ระบาดมากกว่าโอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม 20 % ส่งผลกระทบมากในเด็ก คาดในอนาคตอาจเป็นโรคเฉพาะกลุ่มเด็กได้ แต่เชื้อไวรัสป้องกันโควิดรุ่นใหม่มีศักยภาพสามารถรับมือโควิดได้
สำนักข่าวอิศรา(www.isranews.org) รายงานข่าวสถานการณ์โควิดในต่างประเทศว่านักวิจัย ณ เวลานี้กำลังเฝ้าจับตาโควิด 19 โอไมครอนสายพันธุ์ย่อย XBB.1.16 หรือที่รู้จักกันในชื่อว่าอาร์คทูรัส
โดย นพ.ไมเคิล เต็ง นักไวรัสวิทยาและรองศาสตราจารย์ด้านสุขภาพจากมหาวิทยาลัยเซาธ์ฟลอริดากล่าวว่าไม่รัสนี้เริ่มจะมีความน่ากังวลขึ้นเล็กน้อย เพราะในขณะนี้บุคลากรทางการแพทย์พบว่ามันมีศักยภาพในการระบาดสูงกว่า 20 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับโอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม
“สำหรับผมแล้ว มันดูค่อนข้างน่าประทับใจเนื่องจากว่าไวรัสนี้น่าจะเป็นไวรัสที่ติดเชื้อได้มากที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยรู้จักมา ดังนั้นผมจึงชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าเมื่อไรสิ่งนี้ถึงจะหยุด” นพ.โทมัส อันนาช นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขกล่าว
ทั้งนี้โควิดสายพันธุ์อาร์คทูรัสนั้นเป็นเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยในอินเดียในปัจจุบันโดยมีรายงานผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 11,000 รายในแต่ละวัน
ขณะที่องค์การอนามัยโลกหรือ WHOประกาศว่ากําลังติดตามโควิดสายพันธุ์ย่อยนี้ เนื่องจากขณะนี้มีการตรวจพบในหลายสิบประเทศ ส่วนศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคหรือ CDC ก็กําลังติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสเช่นกัน
โดยในสหรัฐฯ พบว่ามีการตรวจพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจำนวนหนึ่ง ซึ่งในรายงานของ CDC ระบุว่าโควิด XBB.1.16 นั้นครองสัดส่วนผู้ติดเชื้อใหม่อยู่ที่ 7.2 เปอร์เซ็นต์
“ผมคิดว่าเราจะได้เห็นการเพิ่มขึ้นและผมเดาว่าเราน่าจะเห็นสิ่งที่คล้ายกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอินเดีย” นพ.อันนาซกล่าว
อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือว่าบุคลากรทางการแพทย์ยังไม่เชื่อว่าโควิดสายพันธุ์ย่อยนี้นั้นจะทำให้เกิดอาการป่วยที่รุนแรงขึ้นแต่อย่างใด
แต่ถึงกระนั้นบุคลากรทางการแพทย์ได้ระบุว่าพบว่าโควิดสายพันธุ์ย่อยยังคงสร้างผลกระทบที่มากกว่าในเด็ก เพราะว่าเมื่อเด็กติดโควิดสายพันธุ์ย่อยดังกล่าว พวกเขาจะมีอาการที่แตกต่างกันออกไปเมื่อเทียบกับการติดเชื้อโควิดที่กลายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งอาการที่แตกต่างกันออกไปก็ได้แก่อาการตาแดงและอาการไข้ขึ้นสูง
“ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นเพียงว่ามันบ่อยมากเท่ากับสายพันธุ์นี้” นพ.เต็งกล่าว
โดยขณะนี้บุคลากรการแพทย์ต่างๆเชื่อว่าน่าจะเห็นเด็กที่ติดเชื้อมากขึ้นไปอีก
“อีกสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเรากําลังเห็นเช่นเดียวกับในอินเดียเช่นกันคือหลักฐานแรกที่แสดงให้เห็นว่านี่อาจกลายเป็นโรคในเด็ก นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อการพุ่งขึ้นของไวรัสยุติลง” นพ.อัมนาซกล่าว
ทั้งนี้หลังจากการเกิดขึ้นของโควิดสายพันธุ์ย่อยดังกล่าวมาพร้อมกับในช่วงเวลาที่องค์การอาหารและยาสหรัฐฯหรือ FDA เพิ่งจะแก้ไขคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้วัคซีนป้องกันโควิดแบบไบวาเลนต์ (วัคซีนที่ป้องกันโควิดแบบดั้งเดิม ซึ่งผสมกับโควิดสายพันธุ์ใหม่) โดยอนุญาตให้ใช้กับผู้ที่มีอายุเกิน 6 เดือนขึ้นไป และสามารถใช้เป็นวัคซีนบูสเตอร์สำหรับบางกลุ่มได้
โดยคำแนะนำดังกล่าวนั้นยังรวมถึงการให้ผู้ที่มีอายุเกิน 65 ปี ไปแล้วต้องรับวัคซีนไบวาเลนต์เป็นครั้งที่สองเป็นระยะเวลาสี่เดือนหลังจากที่รับวัคซีนไบวาเลนต์เป็นครั้งแรก
"เนื่องจากเรากังวลเกี่ยวกับการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นด้วยตัวแปรที่แพร่เชื้อได้มากขึ้น ดังนั้นตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่จะเริ่มเพิ่มภูมิคุ้มกันของคุณเพื่อที่ว่าเมื่อเราเห็นกรณีของสายพันธุ์ใหม่นี้มากขึ้น คุณจะรู้ว่าระบบภูมิคุ้มกันของจะเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับมัน" นพ.เต็งกล่าว
โดยบุคลากรทางการแพทย์ยังคงเชื่อว่าวัคซีนไบวาเลนต์ที่มีในปัจจุบันนั้นจะสามารถรับมือกับโควิดอาร์คทูรัสได้