ประเด็นที่น่าสนใจก็คือว่าการกลายพันธุ์ของโปรตีนหนามในสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 นั้นทำให้เกิดความได้เปรียบเหนือกว่าโควิดสายพันธุ์ย่อย BA.2 ที่ ณ เวลานี้ยังคงเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในสหราชอาณาจักรอยู่ แต่ว่าผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังได้ออกมากล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่ายังไม่พบว่าโควิดสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 จะทำให้เกิดอาการรุนแรงอย่างมีนัยยะสำคัญแต่อย่างใด
จากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือโคโรน่าไวรัสทั่วโลก และที่ประเทศไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าการระบาดและเสียชีวิตนั้นจะอยู่ในทิศทางขาลง แต่ปรากฎข่าวการเกิดขึ้นของโควิดสายพันธุ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยสายพันธุ์ที่ผู้เชี่ยวชาญต่างให้ความเห็นว่าต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดก็คือโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ที่คาดว่ามีศักยภาพในการหลบภูมิคุ้มกันสูงอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ทางผู้เชี่ยวชาญจากสหราชอาณาจักรได้ให้ความเห็นว่าโควิดสายพันธุ์ย่อยทั้งสองสายพันธุ์ดังกล่าวนั้นอาจไม่น่ากลัวอย่างที่คิด โดยเฉพาะที่สหราชอาณาจักรและประเทศอื่นๆซึ่งมีการระบาดด้วยโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ก่อนหน้านี้ ซึ่งที่ประเทศไทยเอง ทางศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ได้ออกมาประกาศแล้วว่าโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.1 นั้นสูญพันธุ์ไปแล้ว ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อ BA.2 รายใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดยสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้นำรายงานจากสหราชอาณาจักรมานำเสนอมีรายละเอียดดังนี้
จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันในประทเศแอฟริกาใต้นั้นเพิ่มขึ้นสูงถึง 7 เท่าในช่วงไม่ถึงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา โดยเมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา นั้นพบว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ที่ 557 ราย แต่อย่างไรก็ตามตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ของแอฟริกาใต้นั้นพุ่งไปอยู่ที่ 3,839 รายเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา
โดยการพุ่งขึ้นของตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันที่แอฟริกาใต้ดังกล่าวนั้นมีปัจจัยมาจากไวรัสโควิดสายพันธุ์ย่อยจำนวนสองสายพันธุ์อันได้แก่โควิดสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการทะยานของสัดส่วนการติดเชื้อพุ่งขึ้นจากน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ไปอยู่ที่มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาแค่ไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น โดยในวันที่ 29 เม.ย.นั้นก็พบว่าโควิดทั้งสองสายพันธุ์กลายเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดเป็นหลักในแอฟริกาใต้แล้ว
ส่วนที่สหราชอาณาจักรนั้นยังพบว่ามีผู้ติดเชื้อโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 อยู่ที่ไม่กี่รายเท่านั้น แต่ว่าอัตราความเร็วในการแพร่เชื้อของโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ที่เกิดขึ้นในแอฟริกาใต้ และเหตุการณ์ที่โควิดสายพันธุ์โอไมครอนได้แทนที่โควิดสายพันธุ์เดลต้าด้วยเวลาไม่นานนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าทั้ง BA.4 และ BA.5 ถือว่าเป็นไวรัสที่ต้องจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้แม้ว่าโควิดสายพันธุ์โอไมครอน BA.4 และ BA.5 จะกลายเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดเป็นหลักในแอฟริกาใต้แล้ว แต่ตอนนี้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันในประเทศแอฟริกาใต้ก็ยังห่วงไกลจากจุดสูงสุดของการระบาดก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ที่มีผู้ติดเชื้อใหม่ทั้งสิ้น 29,975 ราย
แต่กระนั้นอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อในแอฟริกาใต้ก็ยังคงพุ่งอยู่ต่อไป และทำให้เกิดความกังวลว่าแอฟริกาใต้จะเข้าสู่การระบาดในระลอกที่ห้าในอีกไม่นานนี้
นี่จึงเป็นข้อบ่งชี้ชัดเจนว่าสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 นั้นเป็นสิ่งที่น่ากังวลไม่เพียงแต่เฉพาะต่อแอฟริกาใต้เท่านั้นแต่ยังรวมถึงทั่วโลกด้วย
ออสเตรเลียรายงานข่าวพบโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 (อ้างอิงวิดีโอจาก 7News Australia)
@เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับโควิดสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5
เนื่องจาก ณ เวลานี้ประเทศแอฟริกาใต้ได้เริ่มจะผ่อนคลายมาตรการป้องกันโรคบางอย่างแล้ว และประกอบกับการที่ประเทศแอฟริกาใต้ได้เข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งอากาศที่เย็นนั้นก็จะกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะส่งผลทำให้ไวรัสนั้นสามารถเจริญเติบโตได้ดีขึ้น และทำให้ผู้คนต้องใช้เวลาอยู่ในสถานที่ปิดมากขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้นทั้งปัจจัยด้านพฤติกรรมมนุษย์และสภาพอากาศจึงทำให้เป็นเรื่องที่ยังสรุปไม่ได้ว่าสัดส่วนของโควิดโอไมครอน BA.4 และ BA.5 ที่เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นสายพันธุ์หลัก แต่ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันที่ยังมีจำนวนน้อยอยู่ในประเทศแอฟริกาใต้นั้นมาจากขีดความสามารถของไวรัสหรือไม่
โดยสัดส่วนของโควิดสายพันธุ์ย่อยที่เพิ่มขึ้นนั้นส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการกลายพันธุ์ในส่วนของโปรตีนหนาม ดังนั้นจึงเป็นข้อบ่งชี้ว่าไวรัสอาจมีความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันร่างกายอยู่บ้างในระดับหนึ่ง ควบคู่ไปกับภูมิคุ้มกันที่เริ่มจะเสื่อมถอยลงจากการระบาดรอบที่แล้วก็ทำให้ตัวเลขสัดส่วนของไวรัสสายพันธุ์ย่อยเพิ่มสูงขึ้น
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือว่าการกลายพันธุ์ของโปรตีนหนามในสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 นั้นทำให้เกิดความได้เปรียบเหนือกว่าโควิดสายพันธุ์ย่อย BA.2 ที่ ณ เวลานี้ยังคงเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในสหราชอาณาจักรอยู่ แต่ว่าผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังได้ออกมากล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่ายังไม่พบว่าโควิดสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 จะทำให้เกิดอาการรุนแรงอย่างมีนัยยะสำคัญแต่อย่างใด
ทำให้สอดคล้องกับทฤษฎีที่ว่าการวิวัฒนาการของโควิดไปสู่โอไมครอน BA.4 และ BA.5 จะไม่ใช่การวิวัฒนาการไปสู่โรคที่รุนแรง แต่จะเป็นการวิวัฒนาการทำให้เกิดพฤติกรรมคล้ายกับ BA.2 ที่ระบาดไปทั่วโลกเช่นกัน
มีข้อมูลวิเคราะห์ระบุด้วยว่า BA.4 และ BA.5 นั้นแท้จริงแล้วมีความใกล้ชิดกับ สายพันธุ์ย่อย BA.2 มากกว่า BA.1 จึงหมายความว่าถ้าไวรัส BA.4 และ BA.5 ไประบาดยังภูมิภาคที่โควิดสายพันธุ์ BA.1 เคยระบาดไปก่อนหน้านี้ BA.4 และ BA.5 ก็จะสร้างปัญหาให้กับภูมิภาคนั้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะกลุ่มประชากรนั้นจะมีภูมิคุ้มกันที่น้อยมากเมื่อต้องเจอกับโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยตัวใหม่นี้ ซึ่งในสหราชอาณาจักรนั้นโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ยังคงเป็นโควิดที่ระบาดเป็นสายพันธุ์หลักอยู่
“BA.4 และ BA.5 อาจมีความเหนือกว่าโอไมครอนสายพันธุ์อื่นๆอยู่เล็กน้อยในแง่ของความสามารถที่ดีกว่าในการแพร่เชื้อผู้อื่น โดยเฉพาะกับผู้ที่เคยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน BA.1 ก่อนหน้านี้ และกลุ่มผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน” นพ.ฟรังซัวส์ บัลลักซ์ ผู้อํานวยการสถาบันพันธุศาสตร์มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอนกล่าว
ส่วน BA.4 และ BA.5 ณ เวลานี้นั้นยังพบว่ามีลักษณะของโปรตีนหนามที่มีความคล้ายคลึงกันมากและมีลำดับของโปรตีนหนามอยู่ในจุดเดียวกัน ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจึงคาดว่าไม่มีเหตุผลของความแตกต่างด้านพฤติกรรมระหว่าง BA.4 และ BA.5 และการระบาดนั้นก็น่าจะดำเนินไปควบคู่กัน
องค์การอนามัยโลก หรือ WHO แถลงข่าวจับตาโควิดสายพันธุ์ย่อยในขณะที่จำนวนผู้ติดโควิดทั่วโลกยังลดลง (อ้างอิงวิดีโอจาก Global News)
@โควิดย่อยสายพันธุ์ใหม่ที่ว่านี้มีอาการที่แตกต่างหรือไม่
ณ เวลานี้ยังมีผู้ที่ป่วยโควิด BA.4 และ BA.5 เป็นจำนวนที่น้อยอยู่ แม้ว่าไวรัสนี้จะมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วมากในประเทศแอฟริกาใต้ก็ตาม ดังนั้นจึงเร็วเกินไปที่จะบ่งชี้ว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์ย่อยดังกล่าวนั้นจะทำให้มีอาการป่วยใหม่ๆหรือไม่
อย่างไรก็ตาม การที่สายพันธุ์ใหม่นั้นยังคงอยู่บนแขนงของโอไมครอน และการกลายพันธุ์ส่วนใหญ่โดยเฉพาะการกลายพันธุ์ ณ ตำแหน่งโปรตีนหนามยังคงมีรูปแบบที่เหมือนกัน ก็มีแนวโน้มว่าอาการป่วยนั้นจะมีความเหมือนกันด้วยเช่นกัน ตามการวิเคราะห์ของสถาบันโรคติดต่อแห่งชาติของแอฟริกาใต้ในนครโจฮันเนสเบิร์ก
@การเติบโตของ BA.4 และ BA.5 มีความหมายอย่างไรต่อตัวเลขโควิดของสหราชอาณาจักร?
จนถึง ณ เวลานี้ โควิดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 นั้นยังคงพบเห็นได้ยากในแอฟริกาใต้ โดยที่สหราชอาณาจักรพบข้อมูลว่ามีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.4 แค่ 31 ราย และ BA.5 แค่ 30 รายเท่านั้น ฐานข้อมูลกลางโควิด-19 โลก หรือจีเสส (GISAID)
โดย นพ.บัลลักซ์ กล่าวว่า ณ เวลานี้ไม่มีข้อมูลที่เพียงพอจะบ่งชี้ว่า BA.4 และ BA.5 จะเข้ามาแทนที่ BA.2 ที่ระบาดอย่างทั่วโลกได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่ามีโอกาสค่อนข้างน้อยที่ไวรัสโควิดสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 นั้นจะครองส่วนแบ่งการระบาดเป็นหลักในสหราชอาณาจักรและในยุโรป เมื่อเปรียบเทียบกับในประเทศแอฟริกาใต้และในสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ขอบเขตของ BA.4 และ BA.5 ว่าจะมีการระบาดแบบติดเชื้อซ้ำได้มากแค่ไหนนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าใครมีการติดเชื้อโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 มากแค่ไหนด้วยเช่นกัน ซึ่งตามที่เรียนไปแล้วว่า BA.2 นั้นกลายเป็นโควิดสายพันธุ์ที่ระบาดเป็นหลักไปแล้วในสหราชอาณาจักร แตกต่างจากในประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งมีสายพันธุ์ของโควิดที่ระบาดเป็นหลักก่อนหน้านี้คือ โอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.1 นั่นเอง
“หากการติดเชื้อก่อนหน้านี้ด้วยสายพันธุ์ย่อย BA.2 นั้นสามารถให้ภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นกับสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 มากกว่าการติดเชื้อ BA.1 เราอาจจะคาดการณ์ได้ว่าภูมิภาคหลายๆส่วนของโลกที่มีคลื่นการระบาดของ BA.1 ขนาดใหญ่ อาทิ ที่แอฟริกาใต้และที่สหรัฐอเมริกานั้น อาจจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงของคลื่นการระบาดของ BA.4 และ BA.5 มากกว่ากรณีที่สหราชอาณาจักร,ยุโรปและเอเชียต้องเผชิญกับคลื่นการระบาดของ BA.2 ก่อนหน้านี้” นพ.บัลลักซ์กล่าว
“ปัจจุบันในสหราชอาณาจักร มากกว่าร้อยละ 90 ของประชากรนั้นอาจมีโควิดอยู่แล้วและส่วนที่เหลือส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว ดังนั้นมากกว่าร้อยละ 99 ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีได้รับแอนติบอดี (สารภูมิคุ้มกัน) ทั้งจากวัคซีนหรือการติดเชื้อและส่วนใหญ่ก็มาจากทั้งสองอย่าง” นพ.พอล ฮันเตอร์ มหาวิทยาลัยอีสต์แองเกลียกล่าว
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ทางสหราชอาณาจักรต้องติดตามหลังจากนี้ก็คือว่าเมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง อากาศจะเริ่มเย็นลง โรงเรียนเริ่มเปิดเรียน และภูมิคุ้มกันก็จะเริ่มเสื่อมลงเช่นกัน ซึ่งถึงตอนนั้นแล้วก็จะรู้แน่ชัดว่าโอไมครอน BA.4 และ BA.5 จะมีภัยคุกคามมากน้อยแค่ไหน
ขณะที่ นพ.ลอว์เรนซ์ ยัง นักไวรัสวิทยาจากมหาวิทยาลัยวอร์วิคกล่าวว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะต้องจับตาดูโควิดสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 ซึ่งเป็นต้นเหตุของการติดเชื้อครั้งใหม่ในแอฟริกาใต้
“ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นทั่วโลกนั้นจะผลักดันให้เกิดการพัฒนาของโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่มีศักยภาพดีกว่า ในการหลบต่อการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นทั้งจากการติดเชื้อด้วยโควิดสายพันธุ์ก่อนหน้า และเกิดขึ้นด้วยการฉีดวัคซีนที่ยังคงเป็นสายพันธุ์อู่ฮั่น อันเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมของโควิด-19” นพ.ยังกล่าว