
การลงนามใน “ปฏิญญาร่วม” สู่สันติภาพไทย-กัมพูชา ระหว่างนายกฯอนุทิน และนายกฯ ฮุน มาเนต โดยมีผู้นำมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน และประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนดัง ยืนเป็นสักขีพยาน
แม้ดูประหนึ่งจะเป็นความสำเร็จขั้นต้นของการยุติข้อขัดแย้งและประเด็นพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยืดเยื้อมาหลายเดือน แต่หลายฝ่ายก็ยังคงตั้งคำถาม เริ่มจากคำถามพื้นๆ ว่า งานนี้ไทยเสียเปรียบอีกหรือเปล่า ไปจนถึงปัญหาทางเทคนิคว่า ปฏิญญานี้คือ “สนธิสัญญา” ที่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนลงนามหรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับบทบาทของสหรัฐฯ ภายใต้วงจรภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ห่อหุ้มภูมิภาคนี้อยู่ จากการเผชิญหน้าของสองมหาอำนาจ “จีน - สหรัฐฯ”
งานนี้ไทยอยู่ตรงส่วนไหนของสมการ...
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงและการต่างประเทศชื่อดัง วิเคราะห์ “เวทีสันติภาพกัมพูชา-ไทย ใต้เงามหาอำนาจโลก” เอาไว้อย่างน่าขบคิด
@@ สันติภาพไทย-กัมพูชา/สันติภาพทรัมป์

ก่อนอื่นคงต้องถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ผู้นำไทย-กัมพูชา สามารถบรรลุผลของการหารือที่จะนำไปสู่การสร้างสันติภาพของทั้ง 2 ประเทศในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ซึ่งมีความขัดแย้งต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ดังที่ทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับว่า นับจากนี้ถือ “เป็นการสิ้นสุดการเป็นปรปักษ์ที่ดำเนินอยู่” ของรัฐคู่พิพาท
อย่างไรก็ตาม ผลจากการลงนามเพื่อยุติข้อพิพาทในครั้งนี้ อาจชวนให้เราตั้งข้อสังเกตได้ดังต่อไปนี้
1.ผลของการลงนามยุติข้อพิพาทที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นนั้น ต้องยอมรับว่า “ปัจจัยทรัมป์” (Trump Factor) เป็นสิ่งสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในวันที่ 26 ตุลาคม
2.ต้องยอมรับว่า การเข้ามาของ “ปัจจัยทรัมป์” ทำให้ปัญหาที่ค้างคาจากการเจรจาของทั้ง 2 ประเทศได้ข้อยุติ ไม่กลายเป็น “ปัญหายืดเยื้อ” แต่ยังต้องดำเนินการในรายละเอียดต่อไป
3.ดังที่กล่าวเป็นข้อสังเกตมาโดยตลอดว่า ปัญหาข้อขัดแย้งและการยุติข้อพิพาทมีลักษณะเป็นเรื่องในแบบ “พหุภาคี” ที่เกี่ยวข้องกับตัวแสดงหลายฝ่าย มีทั้งสหรัฐอเมริกา จีน และมาเลเซีย ปัญหาจึงไม่มีสภาวะเป็น “ทวิภาคี” ที่เกี่ยวข้องกับไทยและกัมพูชาเท่านั้น
4.ถ้าสหรัฐไม่เข้ามามีบทบาทโดยตรงในการนี้ เราอาจจะเห็นบทบาทของจีนไม่แตกต่างกัน และในการลงนามการหยุดยิงครั้งแรกในเดือนสิงหาคม เราได้เห็นจีนเป็นหนึ่งในการเป็นผู้สังเกตการณ์ ฉะนั้นจึงต้องติดตามดูบทบาทของจีนที่ดูเหมือนทรัมป์เล่นบทแบบ “ขับรถปาดและแซงหน้า” ในกรณีนี้

5.ในอีกส่วน เราเห็นถึงบทบาทของมาเลเซียที่เข้ามาเป็นคนกลาง อาจจะเพราะมาเลเซียมีสถานะของการเป็นประธานอาเซียนในปีปัจจุบัน ซึ่งคงต้องถือเป็นเครดิตของ นายกฯ อันวาร์ และอาจถือเป็นข้อดีในมิติที่เป็นบทบาทของอาเซียนในการแก้ปัญหาข้อขัดแย้ง
6.บทบาทของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในเวทีการประชุมผู้นำสูงสุดอาเซียนครั้งนี้ บ่งชี้ให้เห็นถึงการเข้ามาอย่างเป็นรูปธรรมของ “ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์” (Geopolitical Factor) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
7.ถ้อยแถลงที่มาเลเซียนั้น เป็นดัง “แถลงการณ์ร่วม” ของผู้นำทั้ง 2 ฝ่าย และรัฐที่เกี่ยวข้อง จึงไม่อาจถือเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่จะต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาแต่อย่างใด มิเช่นนั้น ผู้นำในเวทีระหว่างประเทศจะไม่สามารถออกแถลงการณ์ที่เป็นความเห็นร่วมกันได้เลย (บรรดาปีกขวาจัดในการเมืองไทยที่คัดค้านในเรื่องนี้ อาจต้องทำความเข้าใจในประเด็นเช่นนี้บ้าง)
8.แม้การยุติข้อพิพาทจะมีลักษณะที่เป็นพหุภาคี แต่กลไกในการแก้ปัญหาในพื้นที่ที่เป็นข้อพิพาทยังต้องอาศัย “กลไกทวิภาคี” ในการดำเนินการ จึงยังต้องอาศัย “บันทึกช่วยจำ” ที่ทำขึ้นในปี 2543 และ 2544 (MOU43-44) เพื่อเป็นกรอบ เพราะการแก้ปัญหายังต้องการการมีกรอบระหว่างประเทศช่วยกำกับในการนี้
9.ผลจากการออกข้อยุติในครั้งนี้ ได้เห็นการจัดตั้ง “คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน” (ASEAN Observer Team : AOT) ในการควบคุมการหยุดยิง ซึ่งน่าจะเป็นผลดีกว่าคณะผู้สังเกตการณ์ที่มี 2 ทีม อยู่ 2 ฝั่งของชายแดน (IOT) อันทำให้การควบคุมการหยุดยิงเกิดขึ้นได้ยาก
10.ข้อเรียกร้องทั้ง 4 ข้อของไทยได้รับการตอบสนองจากเวทีที่มาเลเซีย แต่ก็เป็นปัญหาของการดำเนินการในรายละเอียดที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องผลักดันให้ได้ในแต่ละเวที ได้แก่ ปัญหาการถอนอาวุธหนักและการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นเรื่องของฝ่ายทหาร คือ เวที RBC, การจัดทำแนวทางการบริหารชายแดน เป็นหน้าที่ของเวที JBC และการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งจะต้องรวมเรื่องของสแกมเมอร์ อาจจะเป็นเรื่องของรัฐบาล ซึ่งอาจจะใหญ่กว่าระดับของเวที GBC

11.ปัญหาที่เป็นจริงหลังจากการประชุมที่มาเลเซียแล้ว คือ การทำให้กลไก RBC สามารถทำให้เกิดความสำเร็จในประเด็นทางทหาร
12.ปัญหาสำคัญอีกส่วนเป็นเรื่องทางเทคนิค ซึ่งเวทีการประชุม JBC ที่จันทบุรี (โดยท่านทูตประศาสน์ ประศาสนวินิจฉัย) ได้ข้อยุติที่ชัดเจน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีไลด้ามาช่วยในการถ่ายภาพเพื่อแก้ปัญหา และการแก้ปัญหากรณีบ้านหนองจาน หนองหญ้าแก้ว
13.หลังจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศอาจจะต้องฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาให้กลับมาสู่ภาวะปกติซึ่ง รวมถึงการคืนชีวิตตามแนวชายแดนกลับสู่ภาวะก่อนความขัดแย้งให้ได้ และมีนัยต่อการเปิดด่าน และการลดกระแสชาตินิยมในแต่ละบ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย
// ท้ายบท //
ความสำเร็จจากการยุติปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา อันเป็นผลโดยตรงต่อการเข้ามาของประธานาธิบดีทรัมป์นั้น ชวนให้เราต้องคิดถึง “ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์” มากขึ้น และอาจเป็นภาพสะท้อนว่า ความเชื่อในเรื่อง “ทวิภาคี” ที่ผู้นำพลเรือนและทหารไทยที่เรายึดมั่นมาโดยตลอด อาจเป็นสิ่งที่ไม่เป็นจริงกับปัญหาการเมืองโลกปัจจุบัน
ความสำเร็จดังกล่าวยังชวนให้ทั้งรัฐ และสังคมไทยต้องพิจารณาถึงบทบาทและผลกระทบของ “ปัจจัยระหว่างประเทศ” ด้วยความเข้าใจให้มากขึ้นด้วย !
