
ข้อกล่าวหาของฝ่ายความมั่นคงที่อ้างว่า เหตุการณ์ปล้นร้านทองที่ ห้างบิ๊กซี สุไหงโก-ลก เป็นเพราะกลุ่มป่วนใต้เงินขาดมือ จึงลืมอุดมการณ์ หันมาใช้ “วิธีโจร” ออกปล้นสะดม เพื่อนำเงินมาก่อเหตุและเลี้ยงขบวนการนั้น
น่าคิดว่าเป็นเรื่องจริง หรือเป็นการประเมินสถานการณ์ผิดพลาด จนเข้าขั้น “หลงทาง” กันแน่ ลองมาไล่ตอบคำถามเหล่านี้กันก่อน
@@ มาจากไหน...แหล่งรายได้ BRN
ข้อมูลเดิมจากแหล่งต่างๆ ของฝ่ายความมั่นคง เคยรวบรวมแหล่งรายได้หรือเม็ดเงินที่หมุนเวียนในเครือข่ายของกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนดังนี้
1.เก็บค่าสมาชิก คนละ 1 บาทต่อวัน เพื่อนำไปเป็นทุนในการต่อสู้
- มีเหตุผลแฝงในแง่ของการ “เช็คยอด - เช็คกำลังสนับสนุน”
- สร้างความรู้สึกการมีส่วนรวม
- เคยมียอดสมาชิกสูงสุดหลักแสนคน
2.กรีดยางในสวนยางพาราของสมาชิก เดือนละ 1 วัน
- กรีดได้เท่าไร ก็นำรายได้ของวันนั้นส่งเข้าขบวนการทั้งหมด
3.ลอบวางระเบิดตามสวนยางพารา สวนผลไม้ของคนไทยพุทธ กดดันออกจากพื้นที่ แล้วเข้าไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แทน
4.เก็บค่าคุ้มครองจากกิจการห้างร้านต่างๆ
5.เก็บรายได้จากธุรกิจผิดกฎหมาย และมีคนในขบวนการบางส่วน เชื่อมโยงกับกลุ่มค้ายาเสพติด ขนสินค้าเถื่อน ในลักษณะเอื้อประโยชน์กัน
6.เม็ดเงินจากสมาชิกบางส่วนที่ไปทำงาน หรือประกอบกิจการในมาเลเซีย มีการตั้งเครือข่ายผู้ประกอบการ เชื่อมโยงกับกลุ่มที่มีแนวคิดแตกต่างจากรัฐ
@@ เปิดหีบ “Finance ของ BRN”
อย่างไรก็ดี ระยะหลังมีการเปิดข้อมูลใหม่ จากการค้นพบใหม่ๆ ของหลายๆ ฝ่าย รวมถึง ดร.ซาช่า เฮลบาร์ท (Dr. Sascha Helbardt) นักวิจัยชาวเยอรมนี ผู้ร่วมวิจัยในโครงการ “แนวความคิดในการต่อต้านความรุนแรงแบบสุดโต่ง กับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย”
ข้อมูลที่ได้และนำไปบรรจุในงานวิจัยบางส่วน มีดังนี้
1. เมื่อ 5 ปีก่อน มีข้อมูล “การข่าว” จากการประชุมผู้นำ BRN ระบุว่า ขบวนการมีเงินทุนและสินทรัพย์ที่ใช้เคลื่อนไหว รวมมูลค่า 4,000 ล้านบาท
2. เงินและทรัพย์สิน ตลอดจนสินทรัพย์อื่นๆ จำนวนนี้ มีอยู่ทั้งในประเทศไทยและมาเลเซีย
3. เงินส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยผู้นำระดับสูง แต่ระดับล่างก็สามารถเก็บเงินบางส่วนไว้ใช้ในการดำเนินงานของตนได้
4. BRN มี “กระทรวงการคลังเงา” ทำหน้าที่จัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยต่างๆ ของ BRN เช่น
- ฝ่ายทหารของ BRN
- ฝ่ายการเมืองของ BRN
- กระทรวงศึกษาธิการของ BRN
- กระทรวงการต่างประเทศของ BRN
(ทั้งหมดเป็นกระทรวงเงา)
5. รายได้อีกส่วนมาจาก “ค่าสมาชิกของ BRN” เก็บเงินจากสมาชิกวันละ 1 บาท พร้อมกับ “เงินบริจาคเพิ่มเติม” ที่เรียกว่า “ซะกาต” เช่น ในช่วงเทศกาลฮารีรายอ
6. มีระบบบริจาคต้นยางพารา “มีต้นยาง 100 ต้น ให้ BRN 1 ต้น” เพื่อให้คนของขบวนการไปกรีดยาง เก็บรายได้
7. BRN ไม่ได้หารายได้จากการค้ายาเสพติด เพราะขัดกับอุดมการณ์ของ BRN และยังลงโทษคนค้ายาเสพติดในชุมชนด้วย
8. BRN ไม่รับบริจาคเงินจากต่างประเทศ ตรงข้ามกับกลุ่ม PULO (พูโล) และกลุ่มขบวนการอื่นๆ
9. BRN ให้เงินกู้เป็นเครดิตแก่สมาชิกและผู้สนับสนุนของ BRN ที่ต้องการเปิดธุรกิจในประเทศมาเลเซียหรือประเทศไทย ผลประโยชน์ตัวเงิน คือผลพลอยได้
- เช่น บริษัทค้าขายขนาดเล็ก หรือร้านอาหารไทยในมาเลเซีย ที่เรียกว่า “ร้านต้มยำกุ้ง”
- เครือข่ายของร้านเหล่านี้ก็เป็นแหล่งทำงาน และกบดานของสมาชิก หรือนักรบที่หลบหนี กบดาน หลังถูกทางการไทยออกหมายจับ
สรุป/ประเมิน : รายได้รวมทั้งหมดของ BRN ในแต่ละปี มีมูลค่าอย่างน้อย 100 ล้านบาท นอกเหนือจากเงินและสินทรัพย์เดิมที่มีอยู่แล้ว 4,000 ล้านบาท
@@ จริงหรือขบวนการขาดเงิน? หรือสู้แล้วรวย?
จากข้อมูลที่ยกมา เมื่อ BRN มีแหล่งรายได้ชัดเจนระดับหนึ่งอยู่แล้ว จึงเกิดคำถามว่าพวกเขามีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องเปิดปฏิบัติการปล้นสะดม เพื่อหาเงินมาหล่อเลี้ยงขบวนการ
เมื่อไล่เรียงจากคำอธิบายของฝ่ายทหาร - ตำรวจ พบประเด็นสอดคล้องกันดังนี้
- โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. บอกว่า เหตุการณ์ปล้นร้านทองเป็นการกระทำของ BRN ทำมาแล้วหลายครั้ง ประสงค์ต่อทรัพย์แน่นอน
- แหล่งข่าวใน ศปป.5 กอ.รมน. มองว่า อ.สุไหงโก-ลก เป็นเมืองชายแดน คือแหล่งผลประโยชน์ของทุกฝ่าย (รวมทั้งฝ่ายรัฐ) BRN จึงขอมีส่วนแบ่ง
- แหล่งข่าวจากตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ ระบุว่า ปฏิบัติการความรุนแรงหวังผลทางจิตวิทยา และต้องการเงินทุนไปพร้อมกัน
- แม่ทัพภาค 4 คนใหม่ สรุปว่า เป็นการกระทำของขบวนการนอกแถว นอกสายบังคับบัญชา
แต่ฝั่งของ ดร.ซาช่า มองแย้งว่า เหตุการณ์ปล้นร้านทองไม่ใช่วิธีหาเงินของ BRN แต่เป้าหมายหลักคือการทำลายระบบเศรษฐกิจของคนไทยเชื้อสายจีน และการลงทุนจากภายนอก
ขณะเดียวกันก็ยั่วยุให้ฝ่ายรัฐตอบโต้ด้วยวิธีรุนแรง หวังให้เกิดน้ำผึ้งหยดเดียว (เหมือนกรณียิงอดีตอุสตาซ ช่วงก่อนสงกรานต์ จนเกิดการแก้แค้นตอบโต้บานปลายด้วยการยิงเณร สังหารคนแก่ คนพิการ ชาวบ้านไทยพุทธ)
นอกจากนั้นยังอาศัยช่องว่างช่วงเปลี่ยนตัวแม่ทัพ สับเปลี่ยนกำลังในการก่อเหตุ เพราะแม่ทัพมาจากนอกพื้นที่ หัวหน้าคณะพูดคุยดับไฟใต้คนใหม่ก็ไม่เคยทำงานในพื้นที่อย่างจริงจังมาก่อน ขณะที่กำลังพลชุดใหม่เพิ่งประจำการ
บทสรุปส่งท้าย ภาพรวมความรุนแรงรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ 4 ม.ค.47 ถึง 4 ม.ค.68 หรือ 21 ปีไฟใต้ มีเหตุการณ์ความไม่สงบทุกรูปแบบที่เป็นเหตุการณ์ความมั่นคง จากน้ำมือของขบวนการแบ่งแยกดินแดน เกิดขึ้น 9,948 ครั้ง (ไม่นับเหตุส่วนตัว หรือความขัดแย้งอื่น)
แต่มีเหตุประทุษร้ายต่อทรัพย์ในทางตรง เหมือนปล้นร้านทอง ราวๆ 7-10 ครั้ง (เท่าที่สรุปสถิติมาคือ 7 ครั้ง) เท่านั้น แบบนี้แปลว่า กลุ่มขบวนการก่อเหตุประสงค์ต่อทรัพย์เป็นหลัก หรือพุ่งเป้าเรื่องอื่นเป็นหลักกันแน่
อ่านประกอบ : แยกดินแดนหยุดพัก? ป่วนใต้จัดหนักปล้นทอง-ชิงเงิน-หาทุน
