
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) สรุปเหตุจูงใจของเหตุการณ์ปล้นร้านทองครั้งใหญ่ ภายในห้างบิ๊กซี สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ว่าเป็นการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงแน่นอน โดยมีหลักฐานจากผลตรวจดีเอ็นเอที่พบบนวัตถุพยานต่างๆ ในจุดเกิดเหตุ เชื่อมโยงกับสมาชิกขบวนการก่อความไม่สงบ
ข้อมูลที่ยืนยันโดย กอ.รมน.ภาค 4 สน.ล่าสุดนี้ ถือเป็นการตอบโต้หลังจากมีเพจเฟซบุ๊ก อ้างชื่อ “กองรักษาความมั่นคงภายในชาติปาตานี” หรือ Patani National Security Force ที่ออกมาเผยแพร่ข้อมูลว่า การปล้นทองในห้างบิ๊กซี สาขาสุไหงโก-ลก เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
พ.อ.ยุทธนาม เพชรม่วง โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. แถลงว่า ได้รับผลการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ที่สำคัญว่า ผลการตรวจพิสูจน์วัตถุพยานและสารพันธุกรรม หรือ DNA ที่เก็บได้จากรถกระบะ 2 คันที่คนร้ายปล้นจากชาวบ้าน อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส มาใช้ก่อเหตุปล้นร้านทองแล้วจอดทิ้งไว้ในพื้นที่บ้านตอออ หมู่ 1 ต.กายูคละ อ.แว้ง จ.นราธิวาส ก่อนหลบหนีไปนั้น ตรงกับข้อมูลสารพันธุกรรมของบุคคลในแฟ้มประวัติคดีความมั่นคง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่
ส่วนมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุ นอกจากต้องการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงแล้ว ยังพบว่ามีเจตนาต้องการ “เงิน” มาใช้ในการเคลื่อนไหวด้วย เพราะมีสิ่งบอกเหตุว่า ขบวนการก่อความไม่สงบขาดเงินทุนในการทำงาน
“สิ่งบอกเหตุที่แสดงว่ากลุ่มขบวนการขาดเงินทุน เป็นผลจากการที่เจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการอย่างเข้มข้นต่อเส้นทางการเงิน ซึ่งเป็นท่อน้ำเลี้ยงของกลุ่มขบวนการ ทั้งภัยแทรกซ้อนที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด สินค้าหนีภาษี และน้ำมันเถื่อน ซึ่งเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงของกลุ่มขบวนการ เป็นสิ่งบ่งชี้ว่ากลุ่มขบวนการเหล่านี้ไม่ได้กระทำตามอุดมการณ์ที่อ้างต่อพี่น้องประชาชน เป็นเพียงกลุ่มโจรซึ่งกระทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของกลุ่มตนเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนและระบบเศรษฐกิจ” พ.อ.ยุทธนาม ระบุ
พร้อมกันนี้ พ.อ.ยุทธนาม ยังได้อ้างถึงเหตุการณ์ปล้นร้านทอง ปล้นรถขนเงิน รวมถึงเหตุระเบิดตู้เอทีเอ็มเพื่อหวังชิงเงินสดภายในตู้ ซึ่งเคยเกิดขึ้นในอดีตมาแล้วหลายครั้ง ตามที่ “ทีมข่าวอิศรา” เคยรวบรวมเอาไว้
อ่านประกอบ : แยกดินแดนหยุดพัก? ป่วนใต้จัดหนักปล้นทอง-ชิงเงิน-หาทุน
@@ ตำรวจรับลูกทหาร เปิดชื่อแกนนำสั่งปล้น

ข้อมูลของ พ.อ.ยุทธนาม สอดคล้องกับ พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 (ผบช.ภ.9) ที่บอกว่า คนร้ายบุกปล้นร้านทองเพราะต้องการเงินทุนไปเคลื่อนไหว เนื่องจากปฏิบัติการทั้งหมดมีทั้งคนและวัสดุอุปกรณ์ ต้องมีการใช้ทุน เช่น รถที่ใช้ประกอบระเบิด ก็ต้องซื้อ รวมถึงการใช้จ่ายส่วนตัวด้วย
ส่วนกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุ มีรายงานจากฝ่ายตำรวจว่า น่าจะเป็นกลุ่มของ นายวาฟี ละปาดี ที่เป็นแกนนำรับผิดชอบเคลื่อนไหวก่อเหตุร้ายในพื้นที่รอยต่อของ 3 อำเภอ คือ ตากใบ สุไหงโก-ลก และ แว้ง ของ จ.นราธิวาส และเคยเข้าร่วมก่อเหตุปล้นร้านทองในพื้นที่ อ.ตากใบ เมื่อวันที่ 21 ต.ค.66 และร่วมปฏิบัติการ “ปิดเมืองโก-ลก” ทั้งวางระเบิดคาร์บอมบ์ที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก และยิงปะทะ เมื่อวันที่ 9 มี.ค.68 ที่ผ่านมาด้วย
@@ อ้างผลงานปิดท่าข้ามโก-ลก ทำธุรกิจสีเทาชะงัก

หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ทำให้ฝ่ายความมั่นคง ทั้งตำรวจ และทหาร เชื่อว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงก่อเหตุปล้นร้านทองเพราะเงินขาดมือ ก็คือผลงานของฝ่ายรัฐเองในการปิด “ช่องทางข้ามธรรมชาติ” หรือ “ท่าข้าม” ริมแม่น้ำโก-ลก ซึ่งกั้นเขตแดนไทยกับมาเลเซีย ระหว่างเมืองรันตูปันยัง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย กับ 3 อำเภอชายแดนของไทย คือ ตากใบ สุไหงโก-ลก และ อ.แว้ง
การปิดช่องทางธรรมชาติ เป็นนโยบายของ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 โดย พ.อ.ยุทธนา สายประเสริฐ ผบ.บก.ควบคุมสุริโยทัย ส่งเจ้าหน้าที่ทหารชุดปฏิบัติการตามแนวชายแดน (ปชด.) จำนวน 7 กองร้อย ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับกองอาสารักษาดินแดนในพื้นที่ 3 อำเภอ สกัดกั้นและตรวจเข้มตลอดระยะทางยาวกว่า 100 กิโลเมตร เฝ้าระวังช่องทางข้ามธรรมชาติตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งทางภาคพื้นดิน และใช้โดรนบินตรวจสอบทางอากาศ โดยร่วมมือกับตำรวจมาเลเซียอย่างใกล้ชิด มีการจัดสายตรวจรถจักรยานยนต์ทางฝั่งมาเลเซียด้วย
โดยเฉพาะช่องทางข้ามธรรมชาติที่บ้านลูโบ๊ะฆง หมู่ 3 ต.ปาเสมัส อ.สุไหงโก-ลก ซึ่งกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงใช้เป็นช่องทางลักลอบขนอาวุธ วัตถุระเบิดข้ามแดน และส่งสินค้าหนีภาษี ก็ถูกปิดตาย ทำให้สูญเสียรายได้จากธุรกิจสีเทาที่เคยหล่อเลี้ยง เป็นเหตุให้ต้องเคลื่อนไหวก่อเหตุลอบวางระเบิดตู้ ATM และปล้นร้านทอง เพื่อหาเงินมาเคลื่อนไหวนั่นเอง
@@ ไหนว่าคุมเข้ม? แก๊งปล้นทองทิ้งรถใกล้ท่าข้าม อ.แว้ง

อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า ฝ่ายความมั่นคงอ้างว่าซีลชายแดน และปิดท่าข้ามทุกแห่งตลอดแนว 100 กว่ากิโลเมตร จนฝ่ายโจรเงินขาดมือ แต่กลุ่มคนร้ายที่ปล้นร้านทองจากห้างบิ๊กซี สุไหงโก-ลก ก็ใช้ช่องทางข้ามธรรมชาติ จาก อ.แว้ง ข้ามไปยังฝั่งมาเลเซีย เพื่อหลบหนีหลังก่อเหตุเช่นกัน โดยทิ้งรถเอาไว้ใกล้จุดที่เป็น “ท่าข้าม” นั่นเอง
