
ในขณะที่ทิศทางข่าวสารและความสนใจของสังคมไทยพุ่งเป้าไปที่ข้อพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ถึงขั้นประเมินกันว่าอาจเกิดสงครามระหว่าง 2 ประเทศ
ปรากฏว่า ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี หรือ BRN ได้ฝ่ากระแสกัมพูชา ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งตั้งคณะพูดคุยสันติภาพ สานต่อ JCPP หรือ แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม ซึ่งคณะพูดคุยชุดก่อนหน้านี้ได้ทำความตกลงกันไว้ เมื่อต้นปี 67 ที่ผ่านมา หลังจากนั้นก็หยุดชะงักไป
ความน่าสนใจก็คือ แถลงการณ์ฉบับนี้ยังระบุตรงๆ ด้วยว่า การก่อเหตุรุนแรงโจมตี และปฏิบัติการทางทหารที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เป็นเพราะรัฐไทยไม่เปิดโต๊ะเจรจา พร้อมประกาศตัวเป็นนัยว่าพวกตนคือตัวจริง และส่งผู้แทนที่มีอำนาจตัดสินใจเข้าร่วมโต๊ะเจรจาหลายครั้ง แถมยังโชว์หยุดยิงฝ่ายเดียวให้เห็นมาแล้ว
แถลงการณ์ฉบับนี้ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันศุกร์ที่ 6 มิ.ย.68 โดยสำนักงานเจรจาสันติภาพแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี (BRN)
ทีมข่าวอิศราได้สอบถามแหล่งข่าวที่มีความใกล้ชิดกับคณะพูดคุยฯของฝ่าย BRN ได้รับการยืนยันจากโฆษกคณะพูดคุยสันติภาพฝ่ายบีอาร์เอ็นว่า เป็นแถลงการณ์จาก BRN จริง
เนื้อหาใจความของคำแถลงการณ์ซึ่งเป็นข้อความภาษารูมี นอกจากที่จะมีคำอวยพรเนื่องในวันฮารีรายออีดิ้ลอัฏฮา ฮิจเราะห์ศักราช 1446 ที่จะมาถึงในวันเสาร์ที่ 7 มิ.ย.แล้ว ยังเป็นการส่งสารไปยังรัฐบาลไทยให้หันกลับมาสู่เวทีการพูดคุยสันติภาพอีกครั้ง
โดยระบุว่า เนื่องจากรัฐบาลไทย (RTG) กล่าวหาและบิดเบือนข้อเท็จจริงมากมายต่อกลุ่ม BRN ในขณะนี้สำนักเจรจาสันติภาพ BRN จึงใคร่ขอแจ้งให้ทราบหลายเรื่องที่ควรแจ้งให้ชาวปาตานีทั้งหมดโดยเฉพาะและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทราบดังนี้
1.ตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2567 (2024) จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่เคยมีนโยบายหรือภูมิปัญญาในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในปาตานี ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปหลายพันคนและบาดเจ็บสาหัสอีกนับหมื่นคนจากความขัดแย้งครั้งนี้เลย
2.รัฐบาลไทยปัจจุบันไม่จัดตั้งคณะเจรจา และยกเลิกโครงการ พ.ศ.2561 ทำให้กระบวนการเจรจาสันติภาพเป็นไปในลักษณะนิ่งเฉย และไม่จริงใจในการแก้ไขข้อขัดแย้งที่ยืดเยื้อนี้ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลปัจจุบันไม่สนใจความทุกข์ยากและชะตากรรมของประชาชนชาวปัตตานีที่ถูกกดขี่มายาวนานจากการใช้กฎหมายที่ไม่ปกติ
3.ข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จและข้อกล่าวหาต่างๆ ต่อกลุ่ม BRN ที่มีการบิดเบือนข้อมูลและข้อเท็จจริงที่แท้จริง ตลอดจนคำพูดที่ยั่วยุและไม่รับผิดชอบเพื่อทำให้กลุ่ม BRN เสื่อมเสียชื่อเสียง อาจส่งผลเสียต่อความพยายามในการหาทางแก้ไขข้อขัดแย้งในปาตานีโดยสันติ
4.การเพิ่มขึ้นของการกระทำรุนแรง การโจมตี และการปฏิบัติการทางทหารบนพื้นที่ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นผลจากการขาดโต๊ะเจรจาเพื่อใช้เป็นพื้นที่ในการหาจุดร่วมและวิธีแก้ไขในความพยายามที่จะแก้ไขข้อขัดแย้ง
5.ตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 (2013) เป็นต้นมา BRN แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ชัดเจน และสม่ำเสมอในการแก้ไขข้อขัดแย้งโดยใช้แนวทางสันติทางการเมืองผ่านทางโต๊ะเจรจา
6.ผู้นำ BRN ได้แต่งตั้งตัวแทนไปยังโต๊ะเจรจาในฐานะตัวแทนทางกฎหมายและอย่างเป็นทางการขององค์กรที่ดำเนินการตามภารกิจขององค์กร และมีความชอบธรรมและอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเจรจาสันติภาพระหว่าง BRN และ RTG
7.BRN ได้แสดงให้เห็นถึงการหยุดยิ่งฝ่ายเดียวหลายครั้ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กระบวนการเจรจาสันติภาพสามารถดำเนินต่อไปได้ดี และเพื่อโน้มน้าวใจทุกฝ่าย โดยเฉพาะชุมชนปาตานีทั้งหมดซึ่งอยู่ด้วยความหวาดกลัวและถูกกดขี่โดยอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือชุมชนมาเลย์มุสลิมและชุมชนปาตานีทั้งหมดมาเป็นเวลานาน
8.BRN มุ่งมั่นที่จะเจรจาหากรัฐบาลไทยมีนโยบายและความรอบรู้ที่ชัดเจน รวมถึงความตั้งใจจริงที่จะแก้ไขที่ต้นเหตุของความขัดแย้ง และยึดมั่นตามความปรารถนาของประชาชนที่มีต่อประชาคมปาตานีทั้งหมด
9.กระบวนการเจรจาสันติภาพระหว่าง BRN และ RTG ก่อนหน้านี้ได้ก่อให้เกิดความก้าวหน้าหลายประการ เช่น ข้อริเริ่มเบอร์ลิน หลักการทั่วไป และทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะใช้แผนสันติภาพร่วมที่ครอบคลุม (JCPP) เป็นแผนในการก้าวไปสู่สันติภาพที่มีศักดิ์ศรี แท้จริงและยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้หยุดซะงักและเป็นเพียงการนิ่งเฉย เมื่อรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันไม่แสดงความมุ่งมันที่ชัดเจนต่อกระบวนการเจรจาสันติภาพ
10.BRN ยืนยันความมุ่งมั่นในการนำ JCPP มาใช้ในการกำหนดชะตากรรมของตัวเอง ซึ่งจะตอบสนองความปรารถนาของชาวปาตานี โดยจะทำหน้าที่เป็นกลไกที่โปร่งใสรับผิดชอบและครอบคลุม ซึ่งรับประกันการมีส่วนร่วมของทุกระดับในชุมชนปาตานี
