
ผมถือว่าประเทศไทยของเราโชคร้ายจริงๆ ที่ต้องมาเจอปัญหาขัดแย้งกับกัมพูชาในห้วงเวลาแบบนี้
ด้านหนึ่งอาจเป็นความบังเอิญที่สมประโยชน์ของฝ่ายกัมพูชาพอดี
แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า ความถดถอยของเรามาถึงจุดที่เรียกว่า “ฝีแตก” เป็นผลพวงของความห่วยจากความละเลยของทุกๆ องคาพยพในประเทศของเราจริงๆ
ถ้าเราไม่ใช้วิกฤตนี้พลิกฟื้นหรือปฏิรูปประเทศให้กลับมาเข้มแข็งพอที่จะยืนอยู่ได้ในกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และแก่งแย่งแข่งขันฟาดฟันกันทุกระดับ เราก็จะตกหายไปจากจอเรดาร์โลกอย่างถาวร
ความโหดร้ายและความซับซ้อนในบริบทโลก มองเห็นได้ง่ายๆ จากวิกฤตไทย-กัมพูชา การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ไม่ได้มาจากการความพยายามของไทยกับกัมพูชาเองโดยตรง แต่มาจากการที่กัมพูชาดึงมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงเพื่อสร้างความได้เปรียบ
ขณะเดียวกันมหาอำนาจเองก็ใช้สถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์ในการแทรกตัวเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออนุภูมิภาคนี้
การจับมือกันหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ไม่ได้เกิดจากการเจรจาของสองประเทศ แต่เกิดจากการที่มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ใช้ประเด็นเรื่องภาษีมาเป็นเครื่องมือในการกดดันทั้งไทยและกัมพูชา
การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม มีผู้แทนจากสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งเป็นการกดดันทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะไทยในอีกรูปแบบหนึ่ง
สิ้นเสียงปรบมือแห่งความสำเร็จของข้อตกลงหยุดยิง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมากล่าวอ้างว่าเป็นผู้ที่ทำให้เกิดการสร้างสันติภาพได้สำเร็จ โดยมีการเปิดเผยตัวเลขทหารกัมพูชาที่เสียชีวิตเพื่อเป็นการยืนยันความสำเร็จของตนเองในการยุติความสูญเสีย
ข้างฝ่ายจีนย่อมไม่ต้องการให้สหรัฐฯ เข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคนี้มากกว่าเดิม เนื่องจากจีนมีผลประโยชน์มหาศาลทั้งในไทยและกัมพูชา
จีนจึงต้องแสดงบทบาท “พี่ใหญ่” โดย นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ได้เชิญรัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งไทยและกัมพูชาไปพบ ในกิจกรรม “จิบน้ำชา” ระหว่างร่วมประชุมกรอบความร่วมมือ “โขง-ล้านช้าง”
แต่ นายหวัง อี้ กลับกล่าวชื่นชมทั้งสองฝ่าย แทนที่จะตำหนิกัมพูชาซึ่งเป็นฝ่ายผิดข้อตกลงอย่างชัดแจ้งที่สุด ซ้ำร้ายยังชื่นชมกัมพูชาในการจัดการปัญหาสแกมเมอร์ เหมือนจีนเองกำลังถูกหลอกลวงออนไลน์ หรือ “โรแมนซ์สแกม” จากฝั่งกัมพูชาอยู่...ยังไงยังงั้น
แม้จีนจะเอนเอียงไปทางกัมพูชา แต่จีนก็มีผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ การค้า และสิทธิในการส่งออกสินค้าผ่านไทยไปยังสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป
ส่วนในกัมพูชา จีนต้องการขยายอิทธิพลทางทหารผ่านฐานทัพเรือเรียมและการซ้อมรบร่วม “มังกรทอง” (Golden Dragon)
หากไทยกับกัมพูชามีปัญหากัน ก็จะเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงและลดบทบาทของจีนในกัมพูชาได้ เหตุนี้จีนจึงต้องเล่นบทคล้ายๆ เจ้าสัวเมืองไทย คือ “ชอบทุกพรรค รักทุกคน” หรือ “รักพี่เสียดายน้อง - อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน”
ที่มองข้ามไม่ได้ คือ บทบาทของมาเลเซีย โดยนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ได้แสดงบทบาทเป็นตัวกลางในการเป็นเจ้าภาพการประชุม 2 ครั้งแรกเพื่อยุติความรุนแรงเฉพาะหน้าระหว่างไทยกับกัมพูชา
แต่ผลที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ “หยุดยิง” แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับมาเลเซียในฐานะผู้นำในอาเซียน ซึ่งปีนี้มาเลเซียเป็น “ประธานอาเซียน”
ล่าสุดมีข้อเสนอจากกัมพูชาที่จะมอบรางวัลรามอน แมกไซไซ ซึ่งเปรียบเสมือนรางวัลโนเบลสันติภาพแห่งเอเชีย ให้กับนายอันวาร์
พลันที่ประสบความสำเร็จเบื้องต้นในเวทีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา นายอันวาร์ยังแสดงความสนใจที่จะเข้ามาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยซึ่งหากทำสำเร็จ จะยิ่งเสริมสร้างภาพลักษณ์ของมาเลเซียในฐานะผู้สร้างสันติภาพในภูมิภาค และจะช่วยเพิ่มคะแนนนิยมให้กับนายอันวาร์ โดยเฉพาะในรัฐทางตอนเหนือของมาเลเซีย (ติดกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย คือ กลันตัน เคดาห์ เปรัค ปะลิส และอาจรวมถึงตรังกานู) ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของพรรคฝ่ายค้าน อย่าง “พรรคปาส”
ในอดีตมาเลเซียเคยมีบทบาทเป็นผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์มาแล้ว และคาดว่าจะมีบทบาทในการเลือกตั้งของเมียนมาในช่วงปลายปีนี้ด้วย
หาก นายอันวาร์ ในฐานะประธานอาเซียน ช่วยประคองให้การเลือกตั้งในเมียนมาผ่านไปด้วยดี และเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการสันติภาพ ยุติสงครามกลางเมืองในเมียนมา จะยิ่งเป็นสปอตไลต์ให้นายอันวาร์ และมาเลเซียโดดเด่นยิ่งขึ้นในเวทีสันติภาพนานาชาติ
บทบาทนี้เคยเป็นความหวังของไทย (ความหวังล่าสุดคือสร้างสันติภาพในเมียนมา ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านพรมแดนติดกับไทยยาวกว่าทุกประเทศ และไม่ติดกับมาเลย์) แต่วันนี้ความหวังนั้นมลายหายไปสิ้นแล้ว
ฝ่ายกัมพูชา คู่ขัดแย้งกับไทย แม้จะพ่ายในสงครามการทหาร แต่ได้ภาพลักษณ์ “เด็กดีในสายตามหาอำนาจ” ในขณะที่ไทยต้องเหน็ดเหนื่อยกับการต่อสู้เพียงลำพัง
ไทยต้องรับมือกับแรงกดดันจากทั้งมหาอำนาจและประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ซึ่งต่างก็มีผลประโยชน์ของตนเองซ่อนอยู่
ขณะที่กัมพูชาใช้ทั้งมหาอำนาจและประเทศเพื่อนบ้านเหล่านั้นกลับมากดดันไทยอีกทอดหนึ่ง
โดยรวมแล้ว สันติภาพที่เกิดขึ้นนี้เป็นสันติภาพที่เปราะบางและตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของมหาอำนาจ และเพื่อนบ้านซึ่งเป็นคู่แข่งทั้งการเมืองและการค้าในอาเซียนอย่างมาเลเซีย
คำถามตัวโตๆ ที่ต้องช่วยกันถามก็คือ ไทยได้อะไรบ้างจากเรื่องนี้ นอกจากตามแก้เฟคนิวส์ไปวันๆ และกระแสชาตินิยมที่เบาหวิว ไร้หลักประกัน
