
29 ต.ค.68 ที่โรงแรมอิสติน พญาไท กรุงเทพฯ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้จัดเวทีเสวนาครั้งสำคัญที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้...
หัวข้อ “การพูดคุยสันติสุข จาก อดีตสู่ปัจจุบัน และมุ่งหน้าสู่อนาคต”
ความพิเศษของเวทีนี้ คือ การรวบรวมอดีตและปัจจุบันของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคณะพูดคุยสันติภาพและสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ “ทุกยุค” ในห้วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา มาพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างเปิดเผย
เวทีลักษณะนี้แทบไม่เคยปรากฏมาก่อน หรือหากจะเคยจัดมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยรวมอดีตหัวหน้าคณะพูดคุยมาอยู่บนเวทีได้เกือบพร้อมเพรียงขนาดนี้
หากปักหมุด ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 ในรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดตัว “กระบวนการพูดคุยสันติภาพ” แบบ “บนโต๊ะ-เปิดเผย” เป็นครั้งแรก และยังเปิดหน้าเปิดตา “คู่พูดคุย” หรือ “คู่เจรา” ว่าเป็นแกนนำกลุ่ม BRN นับจากวันนั้นเรามีคณะพูดคุยที่ได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ จากคำสั่งนายกรัฐมนตรี หรือคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี รวมแล้ว 6 คณะ ได้แก่
1. คณะของ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการ สมช.
2. คณะของ พล.อ.อักษรา เกิดผล อดีตประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก
3. คณะของ พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 4
4. คณะของ พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ อดีตเลขาธิการ สมช.
5. คณะของ นายฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการ สมช. (ในขณะนั้น)
6. คณะของ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา อดีตเลขาธิการ สมช. ซึ่งเป็นคณะปัจจุบัน
นอกจากนั้น ในช่วงก่อนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 มีการตั้งคณะพูดคุยอีก 1 คณะ ในรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งถือว่าเป็นการพูดคุยอย่างเป็นทางการเช่นกัน เพียงแต่ไม่ใช่ในรูปแบบ “เปิดเผย - บนโต๊ะ” นั่นก็คือ
คณะของ รศ.ดร.มารค ตามไท นักวิชาการด้านสันติศึกษา
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เวทีเสวนาที่จัดโดย สมช.ครั้งนี้ ระดมอดีตหัวหน้าคณะพูดคุยมาได้เกือบครบทุกคน ขาดเพียง พล.อ.อักษรา เกิดผล คนเดียวเท่านั้น และหัวหน้าคณะพูดคุยคนปัจจุบัน ก็มาร่วมรับฟังการถ่ายทอดประสบการณ์ครั้งสำคัญนี้ด้วย
องค์ประกอบของเวทียังมีผู้ดำเนินรายการที่เป็น “คนวงใน” ไม่แพ้บรรดาอดีตหัวหน้าคณะพูดคุย คือ นายพลเทพ ธนโกศล ผอ.กองความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้และชนต่างวัฒนธรรม สมช. และ นางสาววันรพี ขาวสะอาด นักวิชาการยุติธรรม ชำนาญการพิเศษ กระทรวงยุติธรรม
ตลอดการเสวนาได้มีการฉายภาพประวัติศาสตร์ของกระบวนการพูดคุยที่ยาวนานถึง 2 ทศวรรษ
@@ ยุคแรก "ทางลับ" ปูพื้นฐานความจริงใจ

เริ่มจาก รศ.ดร. มารค ตามไท อดีตหัวหน้าคณะพูดคุย ยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ได้เปิดฉากเล่าย้อนไปถึงยุคบุกเบิก โดยระบุว่า หากเป็นปัจจุบัน การมีคณะพูดคุยถือเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อ 20 ปีก่อนถือเป็นเรื่องแปลก
จุดเริ่มต้น เหตุการณ์ ปล้นปืนปี 2547 นำไปสู่การตั้ง กอส. (คณะกรรมการอิสระเพื่อการสมานฉันท์แห่งชาติ) ในปี 2548 เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาชายแดนใต้ และเป็นจุดเริ่มของการแก้ไขปัญหาโดยใช้สันติวิธี
แต่การพูดคุยไม่เป็นอิสระจากเหตุการณ์โลก โดยเฉพาะการทบทวนยุทธศาสตร์ต่อต้านการก่อการร้ายสากลในปี 2549 สมช. ภายใต้ นายกฯ สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ริเริ่มการปรึกษาหารือ “ทางลับ” แต่ต้องเผชิญกับ “ความไม่เชื่อใจ” จากฝ่ายขบวนการ นายกฯ สุรยุทธ์ ต้องเดินทางไปพบหัวหน้าฝ่ายขบวนการนอกประเทศเพื่อ แสดงความจริงใจ ว่า “ไม่เหมือนเดิมแล้ว”
คณะพูดคุยชุดแรกอย่างเป็นทางการ ชุดของ อาจารย์มารค จึงตัดสินใจให้การพูดคุยเป็น “ทางลับ” ก่อน เพราะเป็นเรื่องใหม่มาก โดยมีเป้าหมายหลักคือ
1. แสดงให้ขบวนการเชื่อว่ารัฐบาลจริงใจ และ
2. เช็กระดับของฝ่ายขบวนการ
“เมื่อขบวนการไม่เชื่อมั่น เพราะมีหน่วยงานอื่นของรัฐไปคุยในหลายแทร็ก นายกฯ อภิสิทธิ์ จึงตั้ง Steering Committee (คณะกรรมการอำนวยการ มี นายกฯ มี ผบ.ทบ.ฯลฯ อยู่ในโครงสร้าง) ทำหน้าที่ Clearing ระงับการเดินสายของหน่วยงานอื่นทั้งหมด” รศ.ดร.มารค ระบุ
เขาเล่าต่อว่า มีการทดสอบ มีการทดลองหยุดความรุนแรงชั่วคราว ซึ่งสิ่งที่เรียนรู้คือ “หยุดได้ แต่ไม่ง่าย” และต้องใช้คนลงพื้นที่ไปสั่งการ
อาจารย์มาร์ค มองว่า ปัญหาคือฝ่ายขบวนการมักอ้างว่าพูดแทนประชาชน จึงได้เชิญภาคประชาสังคม (ไทยพุทธ, ผู้นำศาสนา, เยาวชน) 6-7 ท่าน เข้ามาพบกับขบวนการเพื่อตรวจสอบว่า “พูดแทนกี่เปอร์เซ็นต์” ซึ่งเป็นความท้าทายที่ยากมาก
@@ เสธ.แมว “ทางเปิดชุดแรก” ขึ้นตรงนายกฯ

ต่อมาคือ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร หรือ เสธ.แมว อดีตหัวหน้าคณะพูดคุยสันติภาพ ยุครัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
พล.ท.ภราดร เล่าต่อว่า จากยุคอาจารย์มารค ได้ข้อสรุปแล้วว่า “มีคู่กรณีจริงๆ” และเป้าหมายอาจไปถึง “การแบ่งแยกดินแดน” จึงต้องแก้ปัญหาด้วย “หลักสันติวิธี” การพูดคุยต้องมีสิทธิเสรีภาพและความปลอดภัยในพื้นที่ จึงเป็นที่มาของการคุยที่มาเลเซีย
ชุดพูดคุย “ขึ้นตรง” ต่อนายกฯ โดยชุดพูดคุยของตนเป็น “ทางเปิด” คนแรก และขึ้นตรงต่อ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ทำให้กระบวนการจัดการ “สั้น” และได้พบกับ นายกฯ มาเลเซีย โดยตรงด้วย
ในช่วงนั้นมีการถกเถียงเรื่อง “ตัวจริงตัวปลอม” แต่สุดท้ายได้มีการยืนยันจากฝ่ายข่าวกรองทั้งสองประเทศ ว่า BRN เป็นกลุ่มที่ต้องคุยก่อน เพราะ “กองกำลังที่ปฏิบัติการส่วนใหญ่เป็น BRN”
สำหรับจุดยืนของรัฐบาลไทย ยืนยันว่าการเริ่มต้นไปลงนามริเริ่มกระบวนการพูดคุย อิงหลักการ “ข้อ 1 ของรัฐธรรมนูญไทย” คือ ราชอาณาจักรจะแบ่งแยกไม่ได้ โดยใช้กรอบความคิด Peace, Happiness, Dialogue เป็นการคุยแบบ “เซฟเฮาส์” คือใช้สถานที่ปิด ไม่เปิดเผยพิกัดในมาเลเซีย
การพูดคุยในช่วงของตน “ยังย่ำอยู่กับการสร้างความไว้-วางใจซึ่งกันและกัน” และเชื่อว่าหากไม่มีการ รัฐประหาร ความคืบหน้าจะไปได้มากกว่านี้
@@ ไขปริศนา “รัฐเหนือกว่า” ทำไมต้องคุย?

ต่อมาคือ พล.ท.สิทธิ ตระกูลวงศ์ อดีตเลขานุการคณะพูดคุยสันติสุข ได้ตั้งคำถามถึงปัญหาพื้นฐานว่า “ทำไมต้องมีการพูดคุย ทั้งที่รัฐมีอำนาจเหนือกว่าทุกอย่าง?” และชี้ว่าแม้รัฐจะทุ่มเทกำลังและงบประมาณมาก แต่ปัญหาก็ยังไม่ทุเลา
พล.ท.สิทธิ ขยายความว่า ทางเดียวที่จะรู้ปัญหาจริงคือ “ต้องพบเขา (ผู้เคลื่อนไหว)” เพื่อถามว่าปัญหาจริงๆ คืออะไร ทุกกลุ่มขบวนการ เช่น BRN, PULO มีเป้าหมายเดียวกันคือ “ต้องการความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่” โดยเฉพาะเรื่อง โครงสร้างอำนาจ และ สิทธิของตัวเอง
ในยุคของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายให้ทุกกลุ่มมารวมกันและคุยกันครั้งเดียว จึงนำไปสู่การรวมกลุ่ม มาราปาตานี (MARA Patani) โดยมี อาวัง ยาบะ หรือ อาวัง ยาบัต (Awang Jabat) เป็นหัวหน้ากลุ่ม
เป้าหมายระยะสั้น คือพื้นที่ปลอดภัย เพราะ “การสร้างความไว้วางใจเป็นเรื่องยากมาก” จึงเกิดแนวคิด “พื้นที่ปลอดภัย” ขึ้น โดยให้ ประชาชนเป็นผู้ขับเคลื่อน ส่วนรัฐและกลุ่มขบวนการจะทำหน้าที่ “ดักให้” โดยไม่ใช้อาวุธ
ความคืบหน้าเรื่องนี้ คือ มีการเลือก 1 พื้นที่ เพื่อเริ่มต้นคือ อำเภอเจาะไอร้อง เพื่อเป็นการนับหนึ่งของการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ
เป้าหมายระยะยาว คือ รู้รากเหง้าปัญหา เชื่อว่าเสียงระเบิด เสียงปืนมาจาก “ความคับข้องใจ” และ “ความไม่พอใจ” ที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐและรัฐบาล จึงต้องหา รากเหง้าปัญหาที่แท้จริงจากประชาชนในพื้นที่
@@ ยุคบิ๊กเมา “ไม่สำเร็จ” เพราะ 4 ตัวจริงไม่มาคุย

ต่อมา คือ พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัตน์ หรือ “บิ๊กเมา” อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 อดีตหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับว่ารู้สึกแปลกใจที่ตนซึ่งเป็น “คู่ต่อกรโดยตรง” กับผู้ก่อเหตุ แต่กลับได้รับตำแหน่งหัวหน้าคณะพูดคุย
“บิ๊กเมา” เล่าเหตุผลที่ตนได้รับเลือก ว่า นโยบายรัฐบาล คสช.แสดงให้นานาชาติเห็นว่ารัฐบาล คสช. ดำเนินการที่เป็นประชาธิปไตยทั่วไป ให้คุยกับทุกกลุ่ม ทั้งในและนอกประเทศ ให้มาเลเซียเป็น Facilitator (ผู้อำนวยความสะดวก)
แนวทางการทำงาน มีการแสวงหาความรู้จาก อาจารย์มารค และ พล.อ.กิตติ รัตนฉายา อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการคุยกับขบวนการคอมมิวนิสต์มลายา (จคม.)
การพูดคุยที่ประสบความสำเร็จในอดีตมาจากการ “บีบด้วยการปฏิบัติการ” ไปพร้อมกับการูดคุย แต่ปัจจุบันโจทย์ในการแก้ไขปัญหาเปลี่ยนไป
“ผมไปชี้แจงผู้สื่อข่าวต่างประเทศว่า เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้เห็นต่าง” และย้ำว่า “การต่อสู้มีได้ แต่ต้องคำนึงถึงลูกหลานในอนาคต”
พล.อ.อุดมชัย เปิดเผยด้วยว่า ได้ “ทวงบุญคุณ” ที่ประเทศไทยมีต่อมาเลเซีย เรื่องการช่วยดับไฟในบ้านเขาในอดีต (ยุคโจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา) เพื่อขอให้มาเลเซียช่วยอำนวยความสะดวกในการพูดคุย
ส่วนจุดที่ไม่สำเร็จ พล.อ. อุดมชัย ยอมรับว่า การพูดคุยในสมัยตน “ไม่ประสบความสำเร็จ” เพราะ “ไม่สามารถเอาหัวหน้า 4 คน” ที่เป็นตัวจริงมาคุยได้
@@ 2 ทศวรรษโต๊ะพูดคุย “เข้มแข็งเพียงพอ” ต่อยอดได้

พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ อดีตเลขาธิการ สมช. อดีตหัวหน้าคณะพูดคุยช่วงปลายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ สรุปภาพรวมว่า กระบวนการพูดคุยสันติสุขในปัจจุบันถือว่า “มีความชัดเจนและมีความเข้มแข็งเพียงพอ” ที่จะ “ต่อยอดไปสู่ความสำเร็จในอนาคตอันใกล้นี้” ได้
“คณะของผมได้จัดทำหนังสือ ‘สันติสุขชายแดนใต้ แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์’ ซึ่งได้รวบรวมรายละเอียดการดำเนินงานและผลการดำเนินงานตั้งแต่ ปี 2560 ถึง 2566”
@@ ฉัตรชัย แจงปม “JCPP” แนะ 4 กุญแจความสำเร็จ

ขณะที่ นายฉัตรชัย บางชวด อดีตหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขในยุครัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งมีประสบการณ์ร่วมคณะพูดคุยอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุค พล.อ.อักษรา (ชุดแรกในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ปี 2558) บอกภาพรวมของพัฒนาการและข้อสังเกตต่อกระบวนการพูดคุยว่า ทุกยุคมี “พัฒนาการในเชิงบวก” เสมอ เช่น ยุค พล.อ.อักษรา มีการเปลี่ยนจาก “ทางปิดเป็นเปิดตัว” ที่มาเลเซีย และเกิดการเสนอเรื่อง “พื้นที่ปลอดภัย”
ยอมรับว่าคนไทยรู้สึกกังวลว่า “คุยแล้วทำไมยังมีเหตุรุนแรง” แต่ในเชิงทฤษฎีสากล ถือเป็น “เรื่องปกติ” เพราะฝ่ายผู้เห็นต่างเองก็มีความเห็นที่แตกต่างกันภายในกลุ่ม
วิธีการทำงานจึงเน้นการรักษาบรรยากาศการคุย โดยไม่นำเรื่องความรุนแรงมาพูดบนโต๊ะเจรจา ฝ่ายผู้เห็นต่างต้องการ “กรอบกติกา” (Framework) ที่ชัดเจนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลเอาจริง ทำให้มีการผลักดัน “แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม” หรือ JCPP ขึ้นมา ซึ่งเป็น “กรอบกิจกรรม” และมี “เงื่อนเวลาที่ชัดเจน” เพื่อไม่ให้การพูดคุยดำเนินการไปเรื่อยๆ
นายฉัตรชัย ซึ่งปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช. มีข้อคิดเห็นทิ้งท้าย เน้น 4 ประการสำคัญ เพื่อให้กระบวนการพูดคุยประสบความสำเร็จ คือ
1. นโยบายรัฐบาลต้องคงเส้นคงวา
2. เข้าใจผู้เห็นต่างและให้เกียรติกัน
3. เอกภาพภายในของฝ่ายข้าราชการ และ
4. ความอดทนต่อแรงเสียดทานทางสังคม
โดยฝากถึงทุกฝ่ายให้เสนอความเห็นที่เน้น “งานและภารกิจ” ไม่ใช่ “เรื่องส่วนตัว”
@@ “บิ๊กอั๋น” ลั่นเอกภาพคือหัวใจ - ตัดปัจจัยไม่ให้ไฟลาม

ด้าน พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา หรือ “บิ๊กอั๋น” หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขคนปัจจุบัน ย้ำถึงความสำคัญของ “เอกภาพ” และ “เสียงประชาชน” โดยระบุว่าไม่ได้ห่วงเรื่องความต่อเนื่อง เพราะทีมงานส่วนใหญ่มีความรู้ และ สมช. มีความต่อเนื่องอยู่แล้ว
สำหรับสาเหตุที่ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยฯ มาจากความเชื่อมั่นของนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล เพราะเคยร่วมต่อสู้ปัญหา โควิด-19 มาด้วยกัน (สมัยนายอนุทิน ดำรงตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์)
พล.อ.สมศักดิ์ บอกด้วยว่า สิ่งที่ต้องเน้นเป็นพิเศษ คือ “ความมีเอกภาพในการแก้ไขปัญหา” หมายความว่า ทุกองคาพยพ ทั้ง สมช. ศอ.บต. กองทัพ ตำรวจ มหาดไทย ต้องมองไปข้างหน้าด้วย “เป้าหมายเดียวกัน” และทำงานเป็น “ทีมเวิร์คเดียวกัน”
สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนที่สุดคือ “การรับฟังความคิดเห็นที่แท้จริงจากประชาชนในพื้นที่” และภาคประชาสังคม เพื่อให้เสียงนั้นเป็น “พลังขับเคลื่อน” ในการทำงานอย่างแท้จริง
หลักการสำคัญ คือต้องการให้ปัญหานี้แก้ไขโดย “เราเองและกลุ่มผู้เห็นต่าง โดยมีประชาชนเป็นผู้หนุนหลัง” และคัดค้านการแทรกแซงจากประเทศอื่นๆ
พล.อ.สมศักดิ์ โชว์กึ๋นทิ้งท้ายว่า เห็นด้วยกับปรัชญา “การดับไฟใต้” โดยเชื่อว่าทางดับไฟที่ดีที่สุดคือ “ไม่มีออกซิเจน” ตัดปัจจัยที่ทำให้ไฟลุกลาม!
อ่านประกอบ : “ดร.ซาช่า” บอกใบ้ล่วงหน้า ทำไมพูดคุยดับไฟใต้ “ไร้ผล”
