สื่อเครือเนชั่นรายงานบทสัมภาษณ์ “อ.วันนอร์” ย้อนเหตุการณ์ “บิ๊กโจ๊ก” พา “สุชาติ ตระกูลเกษมสุข” มาพบถึงบ้าน เจรจาให้ตีตกคำร้องถอดถอนจากตำแหน่ง แฉอ้างเข้าอวยพรปีใหม่ แต่ไม่แจ้งพา “ว่าที่ประธาน ป.ป.ช.” มาด้วย ยันไม่เคยรับปากช่วยเหลืออะไร ซัดอดีตตำรวจคนดังเสียมารยาท อัดคลิปส่งสื่อเผยแพร่ แจงชัดๆ นั่งกันแค่ 3 คน ไม่มีใครทำนอกจากอดีตรองผบ.ตร.เท่านั้น ลั่น “ทำแบบนี้ใช้ไม่ได้” ย้ำตีตกข้อกล่าวหา เป็นไปตามเนื้อแท้ของข้อมูลและกฎหมาย
สื่อเครือเนชั่นรายงานช่วงก่อนเที่ยงวันพุธที่ 12 มี.ค.68 ว่า นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์เปิดใจถึงกรณีมีคลิปถูกเผยแพร่ทางสื่อบางแขนงว่ามีการพบปะกับ นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธาน ป.ป.ช.คนใหม่ และอาจมีการเจรจาเพื่อขอให้ยุติเรื่อง หรือถอนเรื่องที่มีการล่ารายชื่อประชาชนให้ถอดถอนนายสุชาติออกจากตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. โดยอ้างว่ามีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
โดย อาจารย์วันนอร์ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งบางส่วนถูกบันทึกและตัดต่อออกมาเป็นคลิปเผยแพร่ทางสื่อ ว่า ตนจำได้ว่าเป็นช่วงใกล้วันปีใหม่ น่าจะหลังปีใหม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ “บิ๊กโจ๊ก” ได้ติดต่อมา แจ้งว่าจะขอเข้าพบเพื่ออวยพรปีใหม่ ตนบอกว่าไม่จำเป็นต้องมาพบ เพราะไม่ค่อยให้ใครเข้าอวยพร แต่ทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อ้างว่าจะมาคุยเรื่องสมาคมปักษ์ใต้ และเรื่องการเมือง ตนยังถามกลับไปว่า การเมืองเรื่องอะไร เพราะตนเป็นกลางทางการเมือง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็อ้างว่าตัวเขาจะลงเล่นการเมือง เพราะถูกกลั่นแกล้งมาก
อาจารย์วันนอร์ เล่าต่อว่า ตนเห็นว่าเป็นคนรู้จักกัน และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พยายามย้ำว่า จะมาคุยเรื่องสมาคมปักษ์ใต้ ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นนายกสมาคมฯอยู่ และตนก็เป็นคนปักษ์ใต้ จึงนัดกัน แต่ครั้งแรกตนไม่ว่าง ทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ขอนัดครั้งที่ 2 ตนยังถามว่ามาถูกหรือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็บอกว่าจะให้ตำรวจบางใหญ่พาไป สุดท้าย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็มาพบถึงบ้าน
@@ ไม่ได้มาคนเดียว แต่พาว่าที่ประธาน ป.ป.ช.มาด้วย
“ตอนนั้นมาเกือบ 1 ทุ่มแล้ว แค่พอมาถึง ไม่ได้มาคนเดียว พาอีกคนมาด้วย บอกว่าอยากให้รู้จักท่านสุชาติ (สุชาติ ตระกูลเกษมสุข ขณะนั้นเป็นกรรมการ ป.ป.ช.) ผมยังถามว่าเป็นอย่างไรกัน ตกลงกันได้แล้วหรือ เพราะทราบดีว่า มีเรื่องที่บิ๊กโจ๊กยื่นถอดถอนคุณสุชาติเอาไว้ ปรากฏว่าทาง บิ๊กโจ๊กบอกว่ามาขอถอนเรื่อง”
“ผมยังบอกว่า ถอนคงลำบาก เพราะตรวจสอบรายชื่อประชาชนที่เข้าชื่อเรียบร้อยแล้ว แต่ผมดูแล้วรู้สึกเรื่องมันไม่มีมูล ทางบิ๊กโจ๊กยังบอกว่าดีๆ ส่วนทางท่านสุชาติก็นั่งเฉยๆ”
อาจารย์วันนอร์ เล่าอีกว่า หลังจากคุยเรื่องนายสุชาติจบ ก็คุยกันเรื่องอื่นๆ เช่น จะเลือกประธาน ป.ป.ช.กันเมื่อใด กรรมการมีกี่คนแล้ว จากนั้นก็ลากลับ ตนยังอวยพรปีใหม่ ขอให้มีสุขภาพดี ก็เท่านั้น
@@ แฉนั่งกัน 3 คน “บิ๊กโจ๊ก” แอบอัดคลิป
“เรื่องมีแค่นี้ นั่งกันอยู่มี 3 คน ไม่รู้ใครอัดเทป นั่งกันที่ห้องรับแขก มี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ท่านสุชาติ และผม ท่านสุชาติคงไม่ได้อัด และหน้าตาท่านก็ไม่ได้อยากมาเท่าไหร่ ฉะนั้นคนที่อัดเทปก็ต้องเป็น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์”
อาจารย์วันนอร์ ยังอธิบายขั้นตอนการตรวจสอบเรื่องการถอดถอนกรรมการองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช.ว่า รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนให้อำนาจประธานสภาทำอะไรมากมาย คือทำได้ 3 อย่าง ได้แก่
1.รายชื่อประชาชนครบ 20,000 ชื่อหรือไม่
2.เนื้อหาคำร้องเป็นอย่างไร
3.ข้อกล่าวหามีเหตุอันควรสงสัยว่าจะเป็นไปตามที่กล่าวหาหรือไม่
ทังนี้ ตนได้ตรวจสอบแล้ว คำร้องมี 3 ข้อหา คือ หนึ่ง ทุจริต ประพฤติมิชอบ ซื้อรถยนต์ให้บุคคลอื่น ในชื่อคนอื่น แต่เป็นเงินของท่านสุชาติ ตรวจสอบแล้วไม่มีหลักฐานอะไรสักอย่าง ไม่มีหลักฐานการโอนเงิน และประเด็นนี้เคยร้องใน ป.ป.ช.มาแล้ว และถูกตีตกไปแล้ว
สอง เรื่องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตรวจสอบแล้วก็ไม่พบว่าสามารถเอาผิดได้
สาม เรื่องจริยธรรมร้ายแรง ประเด็นนี้ก็ไม่ได้มีพยานหลักฐานอะไร
โดยสรุป คณะทำงานที่ตนตั้งขึ้นมาตรวจสอบ ก็ไปหาข้อมูลข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหา และสรุปออกมา โดยไม่ได้สรุปหน้าเดียว เพราะเอกสารที่ส่งมาให้ตนมีเกือบ 50 หน้า มีที่มาที่ไปทั้งหมดว่าตรวจสอบอะไร อย่างไรบ้าง ส่วนบทสรุปสุดท้ายมี 1 หน้า ก็คือข้อกล่าวหาไม่มีมูล
“ผมไม่รู้จักกันกับคุณสุชาติ และตอนท่านมา ท่านก็ไม่ได้ขอร้องอะไร ที่ผ่านมาไม่เคยติดต่ออะไรกันเลย วันที่มาพบ บิ๊กโจ๊กต้องการจะมาบอกว่าไม่ติดใจแล้ว ให้เรื่องตกได้ก็ดี ผมยังบอกว่า ถ้าคำร้องตกจริง ก็ตกโดยเนื้อแท้ จะไปตีตกไม่ได้ เรื่องนี้ถ้าไม่มีหลักฐานก็เอาผิดไม่ได้”
“หน้าที่ของผมมีแค่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารที่ส่งมา ถ้าเอกสารมีมูลเพียงพอที่จะส่งให้ศาลฎีกาได้ ก็ส่งไป ถ้าไม่มีมูลพอที่จะส่งได้ ประธานก็ไม่ส่ง ถือว่าจบ”
@@ ฉะ “โจ๊ก” เสียมารยาทลูกผู้ชาย ทำไม่ถูกต้อง
อาจารย์วันนอร์ ยังเผยความรู้สึกที่รู้ตัวว่าถูกอัดเทประหว่างพูดคุยว่า “ไม่น่าจะเสียมารยาทลูกผู้ชายไปอัดเทป พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มาขอพบเพื่ออวยพรปีใหม่ และไม่ได้บอกว่านัดให้ท่านสุชาติมาพบ จริงๆ ผมเป็นคนมีอำนาจที่จะตรวจสอบข้อกล่าวหาที่มีต่อกรรมการองค์กรอิสระ ขณะที่ ป.ป.ช. ก็มีอำนาจตรวจสอบผมเช่นกัน ฉะนั้นท่านสุชาติก็คงไม่อยากมา แต่บิ๊กโจ๊กจะมาพบ”
“ผมคิดว่าใช้ไม่ได้ ตรงที่มาอัดเทป แล้วตัดคลิปไปส่งไปให้สื่อ วันนั้นนั่งกันอยู่ 3 คน จะมีใครที่ทำ ผมกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รู้จักกันมา ก็โอเค แต่ทำเรื่องแบบนี้ไม่ถูกต้อง มาขอพบแล้วอัดเทป แอบส่งเทปให้สื่อมวลชน ไม่น่ากระทำ”
@@ แจงถอดถอนองค์กรอิสระต้องมีมูล ไม่งั้นทำงานไม่ได้
อาจารย์วันนอร์ ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร ยังกล่าวถึงการทำหน้าที่ตรวจสอบข้อกล่าวหาที่มีต่อกรรมการองค์กรอิสระว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เข้ามาที่สภา ทางสภาเราก็ไม่มีระเบียบข้อบังคับในเรื่องนี้ว่าต้องดำเนินการอย่างไร มีอำนาจสอบเพิ่มเติมหรือไม่ เรียกใครมาเป็นพยานบุคคลได้หรือเปล่า
เพราะในรัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้กว้างๆ ว่า ถ้ามีผู้ร้อง ผู้ร่วมลงชื่อ 2 หมื่นรายชื่อ ให้ประธานรับเรื่องไว้ ถ้ามีการตรวจสอบแล้วเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัย ก็ให้ประธานรัฐสภาส่งให้ศาลฎีกา ศาลฎีกาจะมีหน้าที่ตรวจสอบ โดยตั้งคณะไต่สวนอิสระขึ้นมา
“ฉะนั้นถ้าประธานสภาตรวจสอบแล้ว ไม่มีเหตุอันควรสงสัยก็ไม่ต้องส่งให้ศาลฎีกา และเรื่องนี้เราตรวจสอบแล้ว เป็นเรื่องเก่า ไม่มีมูลโดยสัตย์จริง เมื่อเรื่องไม่มีมูล แล้วเราไปส่งศาลฎีกาทุกเรื่อง แบบนี้องค์กรอิสระทำงานยาก พอมีนักร้องร้องคนหนึ่ง ก็ต้องถูกสอบ ถูกพักงาน มันไมโอเค แต่ถ้าตรวจสอบแล้วมีมูล ก็ต้องส่งให้ศาลตามขั้นตอน ถ้าไม่มีมูล เราส่งไปอย่างเดียว ถือเป็นการทำร้ายองค์กรอิสระ”
“ต้องไม่ลืมว่ากว่ากรรมการแต่ละคนจะได้ดำรงตำแหน่ง ต้องผ่านการสรรหา มีคณะกรรมการสรรหาตรวจสอบคุณสมบัติอย่างเข้มฃ้น และผ่านการโหวตของวุฒิสภา กระทั่งเสนอโปรดเกล้าฯ การจะตรวจสอบเพื่อถอดถอนจึงต้องมีพยานหลักฐานค่อนข้างแน่ชัดจริงๆ” อาจารย์วันนอร์ ระบุ
@@ เปิด รธน.มาตรา 236
สำหรับอำนาจหน้าที่ของประธานรัฐสภา ในการตรวจสอบคำร้องถอดถอนกรรมการ ป.ป.ช. บัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตรา 236 ความว่า
มาตรา 236 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภา จํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคน มีสิทธิเข้าชื่อกล่าวหาว่ากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติผู้ใดกระทําการตามมาตรา 234 (1) โดยยื่นต่อประธานรัฐสภาพร้อมด้วยหลักฐานตามสมควร หากประธานรัฐสภาเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทําตามที่ถูกกล่าวหา ให้ประธานรัฐสภาเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระจากผู้ซึ่งมีความเป็นกลางทางการเมือง และมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เพื่อไต่สวนหาข้อเท็จจริง