โควิดชายแดนใต้ทรงตัว แม้ยังมีติดเชื้อเพิ่มทุกจังหวัด ศบค.ยะลาสั่งปิด 5 หมู่บ้านใน 2 อำเภอ เร่งคัดกรองค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกหวั่นขยายวงกว้าง ขณะที่ 11 ด่านรอยต่อเมืองยะลาตรวจเข้มเข้า-ออก ด้าน มท.2 เยี่ยมให้กำลังเจ้าหน้าที่จุดคัดกรอง พร้อมมอบชุดพีพีอี - หน้ากากอนามัย
วันเสาร์ที่ 1 พ.ค.64 รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ และ จ.สงขลา แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงกว่าช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มในทุกจังหวัด
เริ่มจาก จ.นราธิวาส พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในพื้นที่ อ.เมือง 2 ราย รวมมีผู้ติดเชื้อสะสม 515 ราย รักษาหายแล้ว 474 ราย เสียชีวิตสะสม 1 ราย แยกตามพื้นที่ได้ดังนี้ อ.เมือง 405 ราย, อ.ระแงะ 15 ราย, อ.รือเสาะ 13 ราย, อ.บาเจาะ 8 ราย, อ.จะแนะ 4 ราย, อ.ยี่งอ 5 ราย, อ.ตากใบ 50 ราย, อ.สุไหงโก- ลก 5 ราย, อ.สุไหงปาดี 6 ราย, อ.ศรีสาคร 3 ราย และ อ.แว้ง 1 ราย ส่วน อ.เจาะไอร้อง กับ อ.สุคิริน ยังไม่พบผู้ติดเชื้อ
จ.ยะลา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 55 ราย รักษาหายแล้ว 6 ราย เสียชีวิตสะสม 1 ราย รอผลตรวจอีก 2,178 ราย
จำนวนผู้ป่วยแยกตามพื้นที่ ได้แก่ อ.เมืองยะลา 19 ราย, อ.กรงปินัง 20 ราย, อ.เบตง 13 ราย, อ.รามัน 2 ราย และ อ.บันนังสตา 1 ราย โดยมีผู้ป่วยที่ยังคงรักษาตัวในโรงพยาบาล จำนวน 48 ราย อยู่ที่โรงพยาบาลยะลา 30 ราย โรงพยาบาลเบตง 8 ราย โรงพยาบาลกรงปินัง 6 ราย โรงพยาบาลรามัน 2 ราย และโรงพยาบาลบันนังสตา 1 ราย ทั้งยังมีส่งต่อโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 1 ราย
จ.ปัตตานี ณ เวลา 15.00 น. มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 12 ราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมขยับเพิ่มเป็น 97 ราย รักษาหายแล้ว 6 ราย ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต โดยมีผู้ป่วยรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลปัตตานี 24 ราย โรงพยาบาลสนาม 55 ราย และโรงพยาบาลค่ายฯ 1 ราย อยู่ระหว่างการพิจารณาแอดมิท 10 ราย ส่งต่อโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ 1 ราย
จำนวนผู้ป่วยแยกรายอำเภอได้ดังนี้ อ.เมือง 59 ราย, อ.หนองจิก 13 ราย, อ.โคกโพธิ์ 4 ราย, อ.ยะหริ่ง 15 ราย, อ.สายบุรี 3 ราย อ.ไม้แก่น 1 ราย และ อ.แม่ลาน 1 ราย
จ.สงขลา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 27 ราย เป็นการติดเชื้อภายในประเทศทั้งหมด แยกเป็นกลุ่มสถานบันเทิง 7 ราย กลุ่มสัมผัสผู้ป่วย 12 ราย และกลุ่มเดินทางจากพื้นที่เสี่ยง 8 ราย ส่งผลให้ยอดผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 660 ราย ติดเชื้อภายในประเทศ 656 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 4 ราย เป็นผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการรักษา 426 ราย รักษาหายแล้ว 233 ราย เสียชีวิตสะสม 1 ราย อยู่ระหว่างรอผลตรวจ 1,461 ราย
ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อแยกตามพื้นที่ได้ดังนี้ อ.หาดใหญ่ 510 ราย, อ.เมืองสงขลา 54 ราย, อ.บางกล่ำ 19 ราย, อ.นาหม่อม 11 ราย, อ.จะนะ 8 ราย, อ.รัตภูมิ 11 ราย, อ.สะเดา 4 ราย, อ.สิงหนคร 6 ราย, อ.เทพา 5 ราย, อ.ระโนด 8 ราย, อ.สะบ้าย้อย 1 ราย, อ.นาทวี 3 ราย, อ.คลองหอยโข่ง 3 ราย, อ.สทิงพระ 1 ราย, อ.กระแสสินธุ์ 1 ราย และเป็นคนต่างจังหวัด 11 ราย
@@ ยะลาดีเดย์คัดกรองโควิด เข้ม 11 ด่านรอยต่อเข้าเมือง
นายชัยสิทธิ์ พานิชพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา พร้อมด้วย นางโสรยา พานิชพงศ์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดยะลา พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา (ผบก.ภ.จว.ยะลา) นายอำเภอเมืองยะลา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดยะลา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปตรวจเยี่ยมและติดตามการปฏิบัติงานด่านตรวจรอยต่อระหว่างจังหวัด ประกอบด้วย ด่านตรวจลำใหม่, ด่านจุดตรวจบ้านคลองทรายใน, ด่านตรวจท่าสาป และด่านตรวจขุนไวย เพื่อติดตามสถานการณ์ตามจุดตรวจต่างๆ ภายหลังจากที่ ศบค.ยะลา ประกาศออกมาตรการเข้มในการเดินทางเข้า-ออกพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 1-18 พ.ค.
นายชัยสิทธิ์ กล่าวว่า จังหวัดยะลามีความจำเป็นต้องเข้มงวดในหลายมาตรการ โดยเฉพาะเรื่องของการเดินทางของพี่น้องประชาชนที่จะต้องมีการคัดกรองอย่างเข้มงวดและเข้มข้นขึ้น ก่อนที่จะเข้าสู่จังหวัดยะลา ต้องฝากขอโทษไปยังพี่น้องประชาชนที่จะเดินทางเข้า-ออกในช่วงนี้ อาจไม่ได้รับความสะดวก แต่ขอให้คำนึงถึงว่า ความไม่สะดวกของตัวท่านคือความปลอดภัยของตัวท่านเองและทุกคน
สำหรับด่านรอยต่อระหว่างจังหวัดในพื้นที่จังหวัดยะลามีจำนวน 11 ด่าน ประกอบด้วย 1.ด่านขุนไวย เข้า-ออกตัวจังหวัดยะลา-ปัตตานี สาย 410 2.ด่านคลองทราย ถนนสาย 418 ยะลา-ปัตตานี 3.ด่านลำใหม่ 4.ด่านวังพญา 5.ด่านชุดทหารพรานตะโล๊ะหาลอ 6.ด่านกองร้อยทหารพราน4303 กาลอ 7.ด่านจุดตรวจสาวอ 8.ด่านจุดตรวจหน้าโรงเรียนจารังตาดง 9.ด่านทหารพราน 4116 เกะรอ 10.ด่านจุดตรวจตลิ่งชั่น และ 11.ด่านจุดตรวจทหารพรานบันนังดามา อ.กาบัง
@@ ศบค.ยะลา สั่งปิด 5 หมู่บ้านใน 2 อำเภอ
หลังจากเมื่อวานนี้ (30 เม.ย.) ทางศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด -19 จ.ยะลา ได้ออกหนังสือกำหนดพื้นที่เสี่ยงในการควบคุมโควิด-19 เพิ่มเติม โดยห้ามมิให้ผู้ใดเข้า-ออกพื้นที่ 5 หมู่บ้านของ 2 อำเภอ ประกอบด้วย ในพื้นที่ อ.รามัน ได้แก่ หมู่ 1 บ้านบาลอ ต.บาลอ กับ หมู่ 4 บ้านอูแบ ต.ยะต๊ะ และในพื้นที่ อ.กรงปินัง ได้แก่ หมู่ 2 บ้านตะโล๊ะซูแม ต.กรงปินัง หมุ่ 4 บ้านกีเยาะ ต.กรงปินัง และ หมู่ 5 บ้านแปแจง ต.สะเอะ นั้น
ล่าสุดทีมข่าวได้ลงพื้นที่ไปสังเกตการณ์บรรยากาศทางเข้าหมู่บ้าน หมู่ 1 ต.บาลอ อ.รามัน พบว่า ไม่มีประชาชนเข้า-ออกหมู่บ้านเลย มีเพียงเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่คอยดูแลอำนวยความสะดวกตรงปากทางเข้าหมู่บ้านเท่านั้น ในขณะที่บริเวณมัสยิดดารุลมาอาดบาลอ ต.บาลอ มีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยะลาเร่งคัดกรองค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกของหมู่บ้านอย่างขะมักเขม้น
สาเหตุที่ต้องเร่งตรวจเชิงรุก สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ พบชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านติดเชื้อโควิด-19 จนทำให้มีการขยายวงกว้างมากขึ้น
นายแพทย์สงกรานต์ ไหมชุม นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดยะลา ซึ่งได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการทำงานของเจ้าหน้าที่ กล่าวว่า วันนี้ยะลาพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอีก 4 ราย ส่วนที่ ต.บาลอนั้น มีอีกประมาณ 10 คนที่ยังรอผลตรวจยืนยัน จึงเป็นที่มาของการคัดกรองเชิงรุกในหมู่บ้าน และทางทีมสอบสวนโรคกำลังหาอยู่ว่า ต้นตอมาจากที่ใด แต่ก็มีความเชื่อว่า มีการเชื่อมโยงกับการทำกิจกรรมเปิดปอซอ (ละศีลอด) ของผู้ที่ติดเชื้อ
“สาเหตุของการแพร่ระบาดใน อ.รามัน ขณะนี้เป็นในลักษณะของการติดเชื้อกับคนใกล้ชิดมากขึ้น โดยเฉพาะจากคนที่แข็งแรง คนที่มีการเคลื่อนไหว สามารถไปไหนมาไหนได้ ทำกิจกรรมได้ จุดนี้เป็นสิ่งที่เรากำลังกังวล เพราะเริ่มนำเชื้อเข้าไปในบ้าน คือ พบผู้ป่วย 1 ราย การกระจายของเชื้อก็จะมาก ดังนั้นสาธารณสุขจึงต้องมีการขีดวงในการค้นหาให้กว้างขึ้น” นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดยะลา กล่าว
@@ มท.2 เยี่ยมให้กำลัง จนท.จุดคัดกรองโควิด
วันเดียวกัน นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นพ.อุทิศศักดิ์ หริรัตนกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสงขลา นายไพเจน มากสุวรรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจคัดกรองตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด_19 ณ จุดตรวจจุดคัดกรอง ต.พรุพ้อ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา
พร้อมกันนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบชุด PPE จำนวน 100 ชุด และหน้ากากอนามัยจำนวน 4,000 ชิ้น ให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอีกด้วย
นายนิพนธ์ กล่าวถึงสถานการณ์โควิดในขณะนี้ว่า ต้องมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงและพื้นที่แออัดต่างๆ หากไม่จำเป็นต้องพยายามหลีกเลี่ยง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเองก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังตนเองเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งด่านหน้าคือ อสม. แพทย์ พยาบาล หากด่านหน้าได้รับผลกระทบแล้ว ระบบจัดการทั้งหมดจะเสียหายหนักทันที