ชาวบ้านจะนะ 5 ราย พร้อมทนายความเครือข่ายสิทธิมนุษยชนภาคใต้ เดินหน้าร้องศาลปกครองสงขลา ให้พนักงานที่ดินเพิกถอนคำสั่งออกโฉนดให้ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด อ้างทับที่ทำกินกว่า 70 ไร่ โดยก่อนหน้านี้ได้ยื่นฟ้องบริษัทที่ศาลนาทวีไว้แล้ว
ช่วงบ่ายของวันที่ 5 ก.พ.64 ทางชาวบ้านจากอำเภอจะนะ จ.สงขลา จำนวน 5 ราย พร้อมทนายความจากเครือข่ายกฎหมายสิทธิมนุษยชนภาคใต้ และนักศึกษาจากกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษย์ชนสิ่งแวดล้อมและประชาธิปไตย ได้เดินทางไปยังศาลปกครองจังหวัดสงขลา เพื่อยื่นฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสงขลา สาขาจะนะ ขอให้เพิกถอนคำสั่งสอบสวนเปรียบเทียบเพื่อออกโฉนดที่ดินให้แก่ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) โดยอ้างว่าได้ออกโฉนดทับที่ดินทำกินของชาวบ้าน
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ชาวบ้านพร้อมทนายความจากเครือข่ายเดียวกัน ได้ยื่นฟ้อง บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กับพวก ต่อศาลจังหวัดนาทวี โดยอ้างว่าบริษัทฯ ยื่นออกเอกสารสิทธิ์ทับที่ดินของชาวบ้าน จำนวน 3 แปลง รวมเนื้อที่กว่า 70 ไร่ เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนเอกสารสิทธิ์หนังสือรับรองการทำประโยชน์ นส.3ก. เพราะออกโดยทับซ้อนกับที่ดินที่ชาวบ้านทำกินมาก่อน
สอบถามชาวบ้านและเครือข่ายทนายความ ได้ข้อมูลว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 63 ที่ผ่านมา บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นเรื่องขอออกโฉนดที่ดิน จากเอกสารสิทธิ์หนังสือรับรองการทำประโยชน์ นส.3ก. โดยวันที่ 27 มิ.ย.63 ตัวแทนบริษัทฯได้นำเจ้าหน้าที่เข้าไปสำรวจรังวัดเขตที่ดินเพื่อออกโฉนด แต่เมื่อไปถึงที่ดินที่เตรียมรังวัด ปรากฏว่ามีชาวบ้านครอบครองอยู่แล้วมากกว่า 5 ราย ชาวบ้านจึงได้คัดค้านการรังวัดออกโฉนดที่ดิน โดยให้เหตุผลว่า ถือครองที่ดินดังกล่าวมาหลายสิบปีแล้ว บางรายก็ถือครองต่อมาจากครอบครัว บางรายก็ครอบครองด้วยการซื้อขาย
ต่อมาวันที่ 9 ธ.ค.63 เจ้าพนักงานที่ดินได้มีหนังสือแจ้งมายังชาวบ้านที่ครอบครองที่ดินว่า ทางเจ้าพนักงานที่ดินได้เปรียบเทียบแล้วเห็นว่า บริษัท ทีพีไอฯ มีสิทธิ์ดีกว่า เนื่องจากถือเอกสารสิทธิ์ นส.3ก. หากไม่เห็นด้วยจะต้องยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรม เพื่อขอให้ศาลพิสูจน์ความเป็นเจ้าของ หรือยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง กรณีเห็นว่าเจ้าหน้าที่ดำเนินการไม่ถูกต้อง โดยให้ฟ้องภายใน 60 วันนับตั้งแต่ได้รับหนังสือ มิฉะนั้นจะออกโฉนดที่ดินให้แก่ทางบริษัททีพีไอฯ
เหตุนี้ทำให้ชาวบ้านผู้ครอบครองที่ดินได้ปรึกษากับเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น และทีมทนายความ จากนั้นได้มีการตรวจสอบเอกสารต่างๆ เพื่อเตรียมฟ้องคดี ทำให้พบว่า เอกสาร นส.3ก. เลขที่ 437 ทับที่ของชาวบ้าน 2 ราย เอกสาร นส.3ก. เลขที่ 438 ทับที่ดินของชาวบ้าน 5 ราย และเอกสาร นส.3ก. เลขที่ 439 ทับที่ของชาวบ้าน 2 ราย รวมเนื้อที่ทั้งหมด 80 ไร่
ที่ดินทั้ง 3 แปลงดังกล่าว ได้ออกเป็นเอกสาร นส.3ก.เมื่อปี พ.ศ.2518 และได้โอนขายเปลี่ยนมือในปีถัดไป จนสุดท้ายมีการขายให้ บริษัท ทีพีไอฯ เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.61 ทั้ง 3 แปลง ซึ่งการออกเอกสารสิทธิ์ดังกล่าวไม่มีหลักฐานใดๆ ก่อนการออกเอกสารสิทธิ์ ตรวจสอบเอกสารพบมีเพียงการอ้างจากการเดินสำรวจเท่านั้น โดยทาง บริษัททีพีไอฯ ระบุว่าหลังจากซื้อที่ดินก็ได้ทำการปลูกกระถินเทพาเต็มพื้นที่ทุกแปลง แต่เมื่อไปตรวจสอบพื้นที่จริง กลับพบว่าที่ดินส่วนใหญ่เป็นพื้นที่นา พื้นที่ปลูกแตงโม เป็นดินปนทราย ไม่มีต้นไม่้่ใหญ่หรือต้นกระถินเทพาตามที่ตัวแทนบริษัทให้การไว้กับพนักงานเจ้าหน้าที่
ตัวแทนชาวบ้านที่ยื่นฟ้อง กล่าวว่า ที่ดินผืนต่างๆ เหล่านี้มีการครอบครองทำประโยชน์สืบต่อกันมาไม่ขาดสาย แต่ผู้ที่ไปออกเอกสารสิทธิ์ นส.3ก. และบุคคลอื่นที่มีชื่ออยู่ในเอกสาร ไม่เคยมีใครเข้ามาครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสิ้่น จึงไม่ทราบเลยว่าเอกสารสิทธิ์ดังกล่าวออกมาได้อย่างไร พื้นที่ดังกล่าวเคยปลูกข้าวมาก่อน แล้วมาปลูกแตงโม อาจะมีปลูกมะม่วงหิมพานห์หรือมะพร้าวบางแปลงเท่านั้น แต่ไม่มีใครปลูกกระถินเทพา
สำหรับชาวบ้านกลุ่มนี้ เคยเดินทางเข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขณะเดินทางลงพื้นที่ อ.จะนะ จ.สงขลา เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.63 ที่ผ่านมา