ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 พิพากษาจำคุก 3 เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลบุดี อ.เมืองยะลา เซ็นรับรองเบิกค่าเช่าบ้านเท็จ คุกคนละ 6 เดือน ปรับ 5,000 บาท ยังดีศาลปราณี ให้รอการลงโทษจำคุกเอาไว้ 2 ปี ส่วนข้าราชการท้องถิ่นมือเบิกเท็จ โดนฟ้องอาญาฐานฉ้อโกงเทศบาลและใช้เอกสารปลอม
คดีนี้แม้จะเป็นคดีเล็กๆ ที่ไต่สวนโดยสำนักงาน ป.ป.ท.เขต 9 (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เขต 9) แต่เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท.ให้ข้อมูลกับ "ทีมข่าวอิศรา" ว่า ไม่ค่อยมีคดีเบิกค่าเช่าบ้านเท็จที่ถูกฟ้องขึ้นสู่ศาลมากนัก เพราะหน่วยงานผู้ตรวจสอบมองว่าเป็นคดีเล็กน้อย วงเงินความเสียหายไม่สูง บ้างก็มองว่าเป็นการใช้สิทธิ์เท็จ ไม่ถึงกับทุจริตต่อหน้าที่ หากชดใช้เงินคืนก็จะยุติเรื่อง แต่คดีนี้ถูกส่งถึงชั้นศาล และศาลมีคำพิพากษาเป็นบรรทัดฐานเอาไว้
ที่มาที่ไปของคดีสรุปว่า ข้าราชการส่วนท้องถิ่นรายหนึ่งเป็นผู้หญิง ย้ายจาก จ.ปัตตานี ไปสังกัดเทศบาลตำบลบุดี อ.เมืองยะลา จึงมีสิทธิ์เบิกค่าเช่าบ้านตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยค่าเช่าบ้านของข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2548 แต่ในความเป็นจริง ข้าราชการส่วนท้องถิ่นรายนี้ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านครอบของครัวสามี ไม่ได้เช่าบ้านเพื่อพักอาศัยจริง แต่กลับทำเรื่องเบิกเงินค่าเช่าบ้านจากเทศบาลมาใช้สอยส่วนตัว
วิธีการที่ข้าราชการรายนี้ดำเนินการ คือ นำทะเบียนบ้านหลังหนึ่งของญาติที่เปิดเป็นร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย และไม่ได้เช่าอยู่อาศัยจริง นำไปยื่นเป็นหลักฐานขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านจากทางเทศบาล
ต่อมา นายกเทศมนตรีได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการเช่าบ้าน ประกอบด้วย ปลัดเทศบาล, ผู้อำนวยการกองคลัง และหัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไป โดยให้ไปตรวจสอบการเช่าบ้านว่ามีการเช่าพักอาศัยอยู่จริงหรือไม่ ราคาค่าเช่าเหมาะสมหรือไม่ เพื่อเสนอความเห็นให้นายกเทศมนตรีพิจารณาว่าจะอนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้านหรือไม่
ปรากฏว่า คณะกรรมการตรวจสอบการเช่าบ้านทั้ง 3 คน ไม่ได้เดินทางไปตรวจสอบบ้านเช่าจริงๆ แต่ได้ร่วมกันลงนามรับรองว่าข้าราชการท้องถิ่นที่ทำเรื่องเบิก ได้เช่าบ้านพักอาศัยอยู่จริง ราคาค่าเช่าบ้านเหมาะสม แล้วเสนอเรื่องต่อนายกเทศมนตรี อนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้านได้ และเบิกต่อเนื่องนานเกือบ 8 ปี
ต่อมาพลเมืองดีทราบเรื่อง จึงยื่นเรื่องร้องเรียนโดยไม่เปิดเผยรายชื่อ (บัตรสนเท่ห์) ไปยังสำนักงาน ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบ จากนั้นสำนักงาน ป.ป.ช.ได้พิจารณามอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ท.เขต 9 แสวงหาข้อเท็จจริง และไต่สวนจนทราบว่าเรื่องร้องเรียนมีมูลความผิดทั้งอาญาและวินัย จึงได้ได้มีมติชี้มูลความผิดคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการเช่าบ้านทั้ง 3 รายว่าเป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ แล้วส่งสำนวนไปให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า คณะกรรมการตรวจสอบการเช่าบ้านทั้ง 3 คน มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ) และมาตรา 162 (รับรองเอกสารเท็จ) ให้จำคุกคนละ 1 ปี และปรับคนละ 10,000 บาท แต่ในชั้นพิจารณาของศาล จำเลยทั้ง 3 คนให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกคนละ 6 เดือน ปรับคนละ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี
ส่วนข้าราชการท้องถิ่นหญิงผู้เบิกค่าเช่าบ้านเท็จ สำนักงาน ป.ป.ท.เขต 9 เห็นว่าเป็นการใช้สิทธิ์เบิกค่าเช่าบ้านโดยไม่สุจริต เป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกงเทศบาล และใช้เอกสารปลอม จึงส่งเรื่องให้เทศบาลดำเนินการต่อไป