"ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่คิดว่าเราเป็นคนวางระเบิดหรือเปล่า ถึงไม่มีใครมาเยี่ยมเรา ไม่มาถามเหตุการณ์อะไรเลย เราอยากได้กำลังใจ พ่อแม่เราก็ตายแล้ว เราไม่รู้จะไปปรึกษาใคร ไม่รู้จะคุยกับใครนอกจากคนในบ้านซึ่งเป็นเด็กๆ ทั้งหมด ผู้นำในพื้นที่ก็ไม่มีใครมาสักคน"
เป็นความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจของ ซูนีตา เวาะเย็ง หญิงสาววัย 23 ปี มารดาของ ด.ช.อิคลาส เจะเฮง อายุแค่ 2 ขวบ ที่ประสบเหตุระเบิดที่คนร้ายวางดักเพื่อโจมตีทหารในพื้นที่ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี จนได้รับบาดเจ็บไปด้วย
เหตุระเบิดเกิดขึ้นเมื่อวันพุธที่ 15 ก.ค.63 บริเวณริมถนนในท้องที่บ้านบางมะรวด หมู่ 1 ต.บ้านกลาง อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี แม้เป้าหมายของคนร้ายจะพุ่งเป้าไปที่ทหารพราน ซึ่งได้รับบาดเจ็บไป 6 นาย แต่ก็ไม่วายที่มีชาวบ้านตาดำๆ ถูกลูกหลงได้รับบาดเจ็บไปด้วย (อ่านประกอบ : บึ้มต่อเนื่อง! ทหารพรานเจ็บ 6 ที่ปะนาเระ เด็กโดนลูกหลงอีก 2)
ตามข่าวเบื้องต้นระบุว่ามีพลเรือนได้รับบาดเจ็บ 4 ราย แต่เมื่อตามไปตรวจสอบที่โรงพยาบาลปะนาเระ พบว่ามีพลเรือนเหยื่อระเบิดมากถึง 6 ราย และมีถึง 4 คนที่เป็นเด็ก!
รายชื่อผู้บาดเจ็บเฉพาะพลเรือน ประกอบด้วย นายมะรอฮีม เจะเฮง อายุ 25 ปี น.ส.ซูนีตา เวาะเย็ง อายุ 23 ปี ทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน และเป็นพ่อกับแม่ของ ด.ช.อิคลาส เจะเฮง อายุ 2 ขวบ นอกจากนั้นยังมี ด.ญ.อัญญาดา ดาโอะ อายุ 1 ปี 10 เดือน ซึ่งเป็นหลาน รวมถึงสองพี่น้อง ด.ญ.ฮิดายู แวสากอ อายุ 12 ปี และ น.ส.โรสซีราวาตี แวสากอ อายุ 17 ปี ได้รับบาดเจ็บด้วย
ซูนีตา เล่าว่า จนถึงขณะนี้ผ่านไป 5 วันแล้ว มีแค่อิหม่ามในชุมชนเท่านั้นที่มาสอบถามข่าวคราว ส่วนคนอื่นไม่มีใครมา แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านก็ยังไม่มา ทำให้อดน้อยใจไม่ได้ ส่วนเจ้าหน้าที่อำเภอหรือหน่วยอื่นๆ รวมถึงคนจากภาคประชาสังคม เอ็นจีโอ ก็ไม่มีใครมา หรือเพราะเราไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก จึงไม่มีใครมาสนใจ
"เราไม่ได้ต้องการอะไร เราแค่ต้องการกำลังใจ ทุกวันนี้ยังผวาตลอด กลัวและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก แถมยังมาเจอกับพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติเหมือนกับว่าเราเป็นคนร้ายที่ก่อเหตุ ทั้งที่เราก็เจ็บ ลูกก็เจ็บจากที่รถล้ม เพราะขณะเกิดระเบิด รถเรามาเจอพอดี โชคดีที่อยู่คนละฝั่ง ทำให้ไม่ถูกสะเก็ตระเบิด"
ซูนีตา เล่าต่อว่า ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับครอบครัว เพราะในวันเกิดเหตุก็ใช้ชีวิตปกติ
"ตอนนั้นกำลังนั่งรถกับแฟน มีลูกและหลานนั่งมาด้วย จะไปซื้อกับข้าวที่ตลาด พอมาถึงจุดเกิดเหตุ ระเบิดดังขึ้น รถเราก็ล้ม จากนั้นรถมอเตอร์ไซค์ของทหารก็พุ่งมาทางที่รถเราล้มอยู่ เขากระเด็นไกลพอสมควร จากจุดระเบิด เราก็รีบเอามือถือออกมาโทรบอกพี่สาว พี่ก็บอกให้เราก้มลง หมอบไว้ ตอนนั้นมีทั้งควันทั้งเสียงปืน ลูกชายกับหลานสาวร้องไห้ตกใจ ระหว่างหลบริมทางได้ไม่นาน ก็คุยกับแฟนว่าเราพาลูกหนีไปบ้านยายที่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ 200 เมตรดีกว่า อยู่ที่นี่ไม่รู้อีกนานแค่ไหน ลูกจะยิ่งตกใจเพราะเสียงปืนดังนานมาก"
สิ่งที่แย่ยิ่งกว่าการเจอเหตุระเบิดตรงหน้าในความรู้สึกของซูนีตา คือการที่เจ้าหน้าที่ทหารมองครอบครัวของเธอแบบไม่ไว้ใจ ทั้งๆ ที่ลูกและตัวเธอเองก็ได้รับบาดเจ็บ
"พอไปถึงบ้านยายไม่นาน ทหารก็มาเคาะประตูเรียกให้ออกไป เราก็ออก จากนั้นทหารก็พาเราไปดูที่เกิดเหตุ เราขอพาลูกไปโรงพยาบาลเขาก็ไม่ให้ไป ยังดีที่พอผู้การทหารมา และนายอำเภอมา เขาก็ให้ไป ตอนนั้นตกใจ ลูกกับหลานก็ร้องเกาะเราแน่นตลอดจนถึงโรงพยาบาล"
"ตอนนี้ลูกยังสะดุ้งและร้องไห้ตลอดเวลา แม้แต่ตอนกลางคืนก็จะตื่นมากลางดึกแล้วร้องไห้กอดเราแน่น บอกว่ากลัว เราก็นึกในใจว่าตัวเรายังผวาขนาดนี้ ยังหลอนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วเด็กจะไม่กลัวได้อย่างไร แถมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติและพูดจาเหมือนกับเราเป็นคนวางระเบิดเลย แล้วลูกก็ยังเล็ก ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะนอนสะดุ้งและร้องไห้"
"ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่คิดว่าเราเป็นคนวางระเบิดหรือเปล่า ถึงไม่มีใครมาเยี่ยมเรา ไม่มาถามเหตุการณ์อะไรเลย เราอยากได้กำลังใจ พ่อแม่เราก็ตายแล้ว เราไม่รู้จะไปปรึกษาใคร ไม่รู้จะคุยกับใครนอกจากคนในบ้านซึ่งเป็นเด็กๆ ทั้งหมด ผู้นำในพื้นที่ก็ไม่มีใครมาสักคน" ซูนีตา กล่าว
วัยรุ่นสาวอีกคู่หนึ่งที่ต้องเผชิญเหตุการณ์เดียวกัน คือ น.ส.โรสซีราวาตี แวสากอ อายุ 17 ปี กับ ด.ญ.ฮิดายู แวสากอ อายุ 12 ปี ซึ่งทั้งสองเป็นพี่น้องกัน
"ตอนนี้ปวดหัวมาก หูไม่ค่อยได้ยิน เจ็บแขน เหนื่อยหมดแรง และรู้สึกหลอนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่อยากไปหาหมอแล้ว เพราะหมอดุ" โรสซีราวาตี เล่า และว่า "รู้สึกเจ็บ อยากนอนพักนิ่งๆ ที่โรงพยาบาล แต่หมอให้กลับบ้าน เพราะวันแรกอาการไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่พอหลังจากกลับมาบ้านก็เจ็บไปหมด จึงไปหาหมอรอบสอง หมอก็วินิจฉัยให้มีการรักษาต่อเนื่อง"
เหตุการณ์ผ่านมาเพียง 5 วันทำให้สองสาวจำรายละเอียดของเรื่องราวได้อย่างแม่นยำ
"น้องสาวเป็นคนขับรถจักรยายนต์ เรากำลังจะไปหาแม่ที่ตลาด ขณะที่กำลังจะแซงขึ้นหน้าก็เกิดระเบิด รถล้มข้างทาง มีทั้งเสียงระเบิดและเสียงปืนนานมาก ควันเต็มไปหมด คิดทันทีว่าเรากำลังอยู่ในเหตุการณ์ระเบิด นานมากกว่าเสียงจะสงบ ตอนนั้นก็หันไปเห็นบ้านของชาวบ้าน จึงรีบวิ่งไป จากนั้นก็วิ่งไปหาแม่ ก่อนที่แม่จะพาไปหาหมอ ถึงวันนี้ยังนอนสะดุ้งผวา กลัวมาก แต่ก็บอกไม่ถูกว่ากลัวอะไร" โรสซีราวาตี เผยความรู้สึก
ขณะที่ ฮิดายู ในวัยแค่ 12 ปี บอกคล้ายๆ กันว่ากลัวมาก ไม่อยากผ่านไปจุดเกิดเหตุเลย แต่ต้องผ่านเพื่อไปโรงเรียนทุกวัน แม่ต้องขับรถตามหลังไปส่งถึงจะไปโรงเรียนได้ อยู่บ้านก็ไม่กล้าอยู่คนเดียว รู้สึกกลัว ภาพเหตุการณ์ยังติดตา
ส่วน เจะปารีด๊ะ ดือแระ อายุ 46 ปี แม่ของสองสาวน้อย บอกว่า สุขภาพจิตของลูกทั้งสองคนแย่มาก เพราะหวาดกลัวและยังผวากับสิ่งที่เกิดขึ้น แถมยังต้องมาถูกหมอดุอีก ตอนนี้ลูกไม่อยากไปหาหมอที่โรงพยาบาล ลูกขอไปคลินิก แต่ก็บอกลูกไปว่าแม่ไม่มีเงิน ทำงานคนเดียว ขายของที่ตลาดได้วันละ 300 บาท ใช้จ่ายแต่ละวัน ให้ลูกๆ 4 คนและหลานอีกคนก็หมดแล้ว
เหตุรุนแรงที่พวกเขาต้องประสบโดยบังเอิญ หรือที่เรียกว่า "โดนลูกหลง" ส่งผลกระทบกับครอบครัวและสภาพจิตใจอย่างลึกซึ้ง เพราะอานุภาพแห่งระเบิดไม่ได้ทำลายเฉพาะวัตถุในรัศมีทำลายล้างของมันเท่านั้น แต่ยังทำร้ายความรู้สึกของผู้คนอย่างไร้ขีดจำกัดอีกด้วย