สถานทูตไทย ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ แจ้งคนไทยที่จะเดินทางกลับประเทศผ่านทางด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ ต้องเว้นวรรค 3 วันเพื่อทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ ก่อนย้ายไปใช้ด่านสะเดาแทน อันเป็นผลมาจากนักศึกษาไทยจากซาอุฯข้ามแดนแล้วพบผู้ติดเชื้อโควิด 6 คนรวด
สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้แจ้งข่าวการปิดด่านปาดังเบซาร์ ในฝั่งมาเลเซีย (รัฐเปอร์ลิส) เพื่อทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ ทำให้ด่านปาดังเบซาร์ฝั่งไทยต้องปิดด้วยเช่นกัน และเจ้าหน้าที่ไทยจำเป็นต้องงดอำนวยความสะดวกให้คนไทยเดินทางกลับเข้าประเทศที่ด่านปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา เป็นการชั่วคราว ระหว่างวันที่ 28-30 พ.ค.63 รวม 3 วันทำการ จากนั้นจะเริ่มอำนวยความสะดวกให้คนไทยเดินทางกลับเข้าประเทศอีกครั้งที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา ตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.เป็นต้นไป
ในการนี้จึงขอให้คนไทยที่ลงทะเบียนและได้รับหนังสือรับรองเพื่อเดินทางกลับเข้าไทยที่ด่านปาดังเบซาร์ ระหว่างวันที่ 28-30 พ.ค.63 ใช้หนังสือรับรองฉบับเดิมเดินทางกลับเข้าไทยที่ด่านสะเดาในวันที่ 31 พ.ค.แทน โดยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนใหม่ ส่วนผู้ใดที่ขอใบรับรองแพทย์ไว้แล้ว และจะมีอายุเกิน 72 ชั่วโมงก่อนถึงวันที่ 31 พ.ค. สามารถขอใบรับรองแพทย์ใหม่ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ดังนี้
1. ในวันศุกร์ที่ 29 พ.ค. ระหว่างเวลา 09.00-13.00 น. ที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
2. ในวันศุกร์ที่ 29 พ.ค. ระหว่างเวลา 09.00-12.00 น. ที่ร้านอาหาร Chokdee Thai Restaurant เมืองยะโฮร์บารู (จุดขึ้นรถบัสของสถานเอกอัครราชทูตฯ)
สำหรับคนไทยที่มีหนังสือรับรองการเดินทางกลับเข้าประเทศที่ด่านอื่นๆ ได้แก่ ด่านท่าเรือตำมะลัง ด่านวังประจัน จ.สตูล ด่านเบตง จ.ยะลา และด่านสุไหงโกลก จ.นราธิวาส ยังคงใช้เอกสารและเวลาการเดินทางเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
การแจ้งเปลี่ยนแปลงกำหนดการเดินทางและจุดผ่านแดนสำหรับเข้าประเทศไทยครั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 25 พ.ค. มีนักศึกษาไทยจำนวน 39 รายเดินทางกลับจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ผ่านช่องทางด่านถาวรปาดังเบซาร์ ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย และพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 6 ราย ทำให้ทางการมาเลเซียสั่งปิดด่าน ขณะที่ฝั่งไทย นายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ก็ได้ออกคำสั่งปิดด่านปาดังเบซาร์ ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค.เป็นต้นไป และแจ้งเปลี่ยนจุดผ่านแดนถาวรในพื้นที่ จ.สงขลา สำหรับคนไทยเดินทางกลับสู่ราชอาณาจักร เป็นจุดผ่านแดนถาวรสะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา ตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.เป็นต้นไป
จริงๆ แล้วจุดผ่านแดนถาวรสะเดา ถูกเลือกให้เป็นช่องทางหลักในการรับคนไทยกลับจากประเทศมาเลเซียอยู่แล้ว ตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.63 ที่รัฐบาลอนุญาตให้คนไทยตกค้างกลับเข้าราชอาณาจักรได้เป็นกรณีพิเศษแบบจำกัดจำนวน แต่ต่อมาเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) สะเดา ติดเชื้อโควิด-19 ทำให้ผู้ว่าฯสงขลาสั่งปิดด่านเมื่อวันที่ 22 เม.ย.63 และย้ายช่องทางข้ามแดนของคนไทยจากมาเลเซียไปที่ด่านปาดังเบซาร์แทน แต่สุดท้ายก็มีผู้ติดเชื้อโควิดเดินทางเข้าประเทศจนต้องสั่งปิดด่านอีกรอบ และกลับมาใช้ด่านสะเดาเช่นเดิม (อ่านประกอบ : โควิดทำพิษกัก 144 ชีวิตต้องปิดด่านสะเดา คนไทยข้ามแดนย้ายไปปาดังเบซาร์)
สำหรับนักศึกษาไทยจากซาอุดิอาระเบีย เดินทางข้ามจากมาเลเซียเข้าไทยผ่านด่านปาดังเบซาร์ เมื่อวันที่ 25 พ.ค. จำนวน 39 คน และพบติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 6 คน ในจำนวนนี้มีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.ปัตตานี 1 คน จ.ยะลา 1 คน และ จ.นราธิวาส 1 คน จึงส่งต่อไปยังจังหวัดภูมิลำเนาของแต่ละคน ส่วนสงขลารับดูแล 3 คน เป็นชาวสงขลา 2 คน และผู้มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดภาคใต้อีก 1 คน (อ่านประกอบ : 2 ใน 5 นศ.ไทยจากซาอุฯติดโควิด มีภูมิลำเนาปัตตานี-ยะลา)
การที่นักศึกษาจากซาอุฯ ที่ติดเชื้อโควิด-19 มีภูมิลำเนาอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จังหวัดละ 1 คน ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันของแต่ละจังหวัดเพิ่มขึ้นจังหวัดละ 1 คนด้วยเช่นกัน โดยในส่วนของ จ.นราธิวาส มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสมเพิ่มเป็น 41 ราย โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นชายอายุ 33 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.รือเสาะ เพิ่งเดินทางกลับมาจากเมืองริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยกลับถึง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 พ.ค.
เจ้าหน้าที่ได้นำชายคนนี้เข้ากักตัวที่ศูนย์กักกัน (Local Quarantine) ซึ่งตั้งอยู่ภายในสนามกีฬาของสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา บริเวณศูนย์ราชการ อ.เมือง จ.นราธิวาส และตรวจยืนยันว่าพบเชื้อโควิด-19 ซึ่งล่าสุดขณะนี้ได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยรายใหม่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลกัลยาณิวัฒนาการุณย์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสนามของมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์แล้ว
สำหรับผู้ป่วยยืนยันของ จ.นราธิวาส ทั้งหมด 41 ราย รักษาหายแล้วจำนวน 36 ราย เสียชีวิต 1 ราย นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนาม 1 ราย และโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ 3 ราย