วิถีใหม่ของการปฏิบัติศาสนกิจในยุคโควิด-19 ไม่ได้มีแค่การเว้นระยะห่าง หรือล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์เวลาไปละหมาดวันศุกร์ หรือละหมาดประจำวันที่มัสยิดเท่านั้น
แต่ศาสนกิจสำคัญที่มีเฉพาะบางช่วงเวลา อย่างการ "ละหมาดตะรอเวียะห์" ก็ยังมีวิถีใหม่ด้วยเช่นกัน
การละหมาดตะรอเวียะห์ เป็นการปฏิบัติศาสนกิจของมุสลิมในห้วงเดือนรอมฎอน ซึ่งจะมีเฉพาะเดือนนี้เท่านั้น โดยเป็นการละหมาดใหญ่หลังจากละศีลอดเมื่อสิ้นแสงตะวันในแต่ละวัน เริ่มตั้งแต่คืนที่ 1 ของเดือนรอมฎอนไปจนถึงคืนที่ 30
ตลอดเดือนรอมฎอนปีนี้ ซึ่งตรงกับฮิจเราะห์ศักราช 1441 ซึ่งทั่วโลกต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 บรรยากาศยามค่ำคืนที่ชายแดนใต้หลังจากละศีลอดของพี่น้องมุสลิมแต่ละค่ำคืนจึงเป็นไปอย่างเงียบเหงา เพราะมุสลิมส่วนใหญ่ต่างต้องเก็บตัวอยู่ภายในบ้าน เนื่องจากการละหมาดตะรอเวียะห์ที่มัสยิดถูกขอความร่วมมือให้งด เพื่อป้องกันโรคระบาด
เมื่อมัสยิดเงียบ แต่การละหมาดไม่ได้หยุด ทำให้มีความเคลื่อนไหวและลมหายใจแห่งศรัทธาเกิดขึ้นภายในครอบครัวแทน เพราะหัวหน้าครอบครัวจะนำสมาชิกในครอบครัวละหมาดพร้อมกัน บางบ้านที่เป็นครอบครัวใหญ่ ก็จะมีญาติพี่น้องมาร่วมละหมาดด้วย
มะฆอซี อาบู หนุ่มมุสลิมวัย 28 ปี เล่าว่า การละหมาดตะรอเวียะห์ถือเป็นซุนนะห์ (การปฏิบัติตามแบบอย่างของนบี) ที่ประชาชาติอิสลามปฏิบัติสืบทอดกันมา โดยการละหมาดตะรอเวียะห์เชื่อกันว่าถ้าทำที่มัสยิดจะมีความประเสริฐมากกว่าละหมาดที่บ้าน ทั้งที่ตามหลักแล้วสามารถละหมาดคนเดียวที่บ้านก็ได้ แต่ถ้ามีความสามารถไปละหมาดที่มัสยิดได้ก็จะดีกว่า
"แต่ปีนี้ถือว่ามีความแตกต่างจากทุกปี เราจะเห็นบรรยากาศหลังละศีลอดที่ปีก่อนๆ พ่อแม่ต่างจูงบุตรหลานไปมัสยิดเพื่อละหมาดตะรอเวียะห์ แต่ปีนี้เมื่อเกิดโรคระบาด เราก็ไม่สามารถไปละหมาดที่มัสยิดได้ เราก็ทำที่บ้านพร้อมกับสมาชิกในครอบครัว"
มะฆอซี เล่าต่อว่า วิธีการละหมาดที่บ้านก็จะทำคล้ายกับที่มัสยิด เพียงแต่จะอ่านบทสวดที่สั้นกว่า เท่าที่จะมีความสามารถอ่านนำละหมาดได้
บรรยากาศในบางค่ำคืนที่บ้านของมะฆอซี บางวันก็จะมีแต่แม่กับพี่สะใภ้ร่วมละหมาด แต่บางคืนจะมีหลานๆ กับพี่ชายมาร่วมด้วย
"ก็ถือเป็นบรรยากาศที่ดี เป็นโอกาสที่คนในครอบครัวจะมีกิจกรรมดีๆ ร่วมกันทั้งเดือนรอมฎอนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรือเคยเกิดก็น้อยมากที่ทุกคนจะสามารถทำละหมาดกันภายในครอบครัวแบบนี้ได้ แต่ปีนี้ถือเป็นภาคบังคับที่เราจะต้องทำที่บ้านร่วมกันกับสมาชิกครอบครัว ทำให้ทุกคนในครอบครัวมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้น"
มะฆอซี เผวความรู้สึกว่า ไม่ได้คิดมากที่ไม่ได้ไปละหมาดร่วมกับคนทั้งหมู่บ้านที่มัสยิด แต่ต้องละหมาดที่บ้าน ซึ่งกลับรู้สึกดีเสียอีกที่ได้ทำกิจกรรมพิเศษแบบนี้กันภายในครอบครัวเรา
"รอมฎอนปีนี้ แม้เราต้องปรับกิจกรรมที่เคยทำในอดีตหลายอย่าง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่ปัญหาหรือเป็นวิกฤติเลวร้ายทั้งหมด เพราะเชื่อว่าในวิกฤติที่เกิดขึ้นย่อมมีโอกาสที่ดีอยู่ด้วยเสมอ มันไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมด การที่เราต้องปรับกิจกรรมจากที่เคยทำในอดีต แต่ก็ยังยังสามารถทำกิจกรรมได้ทั้งหมดตลอดเดือนรอมฎอน ทั้งยังได้ทำพร้อมกันกับคนในครอบครัว กับพ่อแม่ญาติพี่น้องได้ ผมเชื่อว่าเป็นโอกาสที่ดี เพราะหลายครอบครัวน่าจะไม่เคยทำร่วมกันมาก่อน โอกาสแบบนี้ไม่ได้หากันง่ายๆ ในวิกฤติย่อมมีโอกาสดีๆ เสมอ ผมเชื่อแบบนี้" หนุ่มมุสลิม กล่าว
ขณะที่ สือนะ อาแด วัย 39 ปี พี่สะใภ้ของมะฆอซี บอกว่า บ้านของเธอทำละหมาดตะรอเวียะห์ที่บ้าน มีน้องชายนำละหมาด ทำให้รู้สึกดีที่ยังทำละหมาดได้ น้องชายมีความสามารถเป็นผู้นำละหมาด บรรยากาศแม้ไม่เหมือนกกับที่เคยละหมาดที่มัสยิด แต่ก็รู้สึกว่าอบอุ่นดี เป็นกิจกรรมที่ทำกันกับคนในครอบครัว
"พวกเราโชคดีที่น้องชายสามารถเป็นผู้นำละหมาดได้ แต่สำหรับครอบครัวที่ไม่มีใครมีความสามารถนำละหมาด ก็อาจจะทำไม่ได้ แปลว่าต้องทำเองคนเดียว เชื่อว่าปีนี้มีหลายคนก็ทำเองที่บ้านคนเดียว"
สือนะ บอกทิ้งท้ายว่า ต้องอดทนแม้เจอสถานการณ์เลวร้าย ถือเป็นบททดสอบของพระเจ้าที่ต้องผ่านไปให้ได้
"เราต้องอดทนเมื่อเราเจอบททดสอบร่วมกัน คนทั้งโลกต่างเจอเหมือนกันกับเราทุกคน ไม่แบ่งศาสนา เพศ วัย ทุกคนร่วมชะตาเดียวกันหมด อยากขอให้ทุกคนอดทน แล้วเราจะมีพรุ่งนี้ที่ดีกว่าวันนี้"
-----------------------------------------------------------------------
อ่านประกอบ : ละหมาดตะรอเวียะห์ล้นมัสยิด...อานุภาพแห่งความหวังสันติภาพ