แม้จะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การไปพูดในเวทีของสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ OHCHR ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ของ นายฮาซัน ยามาดีบุ เป็นการพูดในนาม "ประธานกลุ่มบุหงารายา" ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาสังคมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ใช่ "ฝ่ายการศึกษาของกลุ่มบีอาร์เอ็น" ตามที่มีการแชร์กันในโลกออนไลน์ก็ตาม
แต่เนื้อหาที่นายฮาซันพูด ในหัวข้อ "Education, Language and the Human Rights of Minorities" ก็มีหลายๆ ส่วนที่เป็นลบกับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่ารัฐไทยใช้นโยบายผสมกลืนกลาย ทำให้ภาษามลายูยาวีอยู่ในภาวะวิกฤติ อีกทั้งรัฐบาลไทยยังไม่มีการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษามลายูยาวีในสถาบันการศึกษาด้วย (อ่านประกอบ : BRN ไม่ได้ขึ้นเวทียูเอ็น แต่เป็น "บุหงารายา" พูดถึงวิกฤติภาษามลายู)
ประเด็นนี้เองทำให้ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาชี้แจง...
นางสาวรัชดา ระบุว่า ต่อข้อกังวลเรื่องวิกฤติภาษามลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่นำเสนอโดยตัวแทนภาคประชาสังคม ในเวทีของยูเอ็น เมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมานั้น จริงๆ รัฐบาลได้ดำเนินการส่งเสริมให้เยาวชนในพื้นที่ชายแดนใต้เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ และส่งเสริมอัตลักษณ์วัฒนธรรมและภาษาท้องถิ่นเป็นเวลาหลายปีแล้ว โดยเฉพาะการให้การสนับสนุนงบประมาณแก่โรงเรียนตาดีกา ตลอดจนสถาบันศึกษาปอเนาะ และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ซึ่งทั้ง 3 สถาบันนี้เป็นแหล่งให้ความรู้ทางด้านศาสนาและภาษาแก่เยาวชนมุสลิมในพื้นที่
โดยเฉพาะโรงเรียนตาดีกาที่ตั้งอยู่ในชุมชน ซึ่งเด็กระดับประถมจะไปเรียนในวันเสาร์-อาทิตย์
ในส่วนของสถาบันศึกษาปอเนาะ การเรียนการสอนสำหรับเด็กมัธยมเป็นไปอย่างสอดคล้องกับวิถีชาวบ้าน ให้ความรู้ทั้งทางศาสนาและภาษามลายู เสริมด้วยวิชาสามัญเพื่อทักษะในการประกอบอาชีพเท่าทันสถานการณ์
มากไปกว่านั้น ปัจจุบันนี้กระทรวงศึกษาธิการยังได้จัดทำหลักสูตรกลาง "อิสลามศึกษา" สำหรับผู้สนใจในระดับชั้นประถม มัธยมต้นและปลาย ทั้งในแบบภาษาไทยและมลายู โดยกระทรวงศึกษาฯไม่ได้เข้าแทรกแซง แต่เป็นการจัดทำหลักสูตรร่วมกันระหว่างศึกษานิเทศก์ที่มีความเชี่ยวชาญ โต๊ะครู และสมาคมโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม
ต่อคำกล่าวเรื่องการไม่ใช้ภาษามลายูเป็นชื่อสถานที่นั้น นางสาวรัชดา ชี้แจงว่า ชื่อหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยว หากมีชื่อเรียกภาษามลายูอยู่ก่อนแล้ว ชื่อนั้นก็ยังใช้อยู่ทุกวันนี้ เช่น บ้านตะบิงติงงี, บ้านคาแวะ, ต.กาบัง, ต.สะเอะ, อ.เจาะไอร้อง, อ.ระแงะ, หาดตะโล๊ะสะมีแล, หาดตะโละกาโปร์ เป็นต้น
ดังนั้นขอให้ประชาชนและนานาชาติมั่นใจต่อนโยบายของรัฐบาลที่เคารพในเสรีภาพการนับถือศาสนาของคนทุกกลุ่ม และส่งเสริมอัตลักษณ์และวัฒนธรรมอันหลากหลาย รวมถึงการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เพราะนั่นคือหัวใจของสันติภาพอย่างแท้จริง
และขอให้พิจารณาข้อมูลต่างๆ ที่เผยแพร่ด้วยความหนักแน่น อย่าตกเป็นเครื่องมือการสร้างความเกลียดชัง เพราะกระแสจากภายนอกจะกระทบวิถีชีวิตคนในพื้นที่และอาจขยายวงไปสู่ประเด็นอื่น
"วันนี้คนไทยพุทธและไทยมุสลิมไม่ได้มีความขัดแย้งต่อกัน และประเทศไทยไม่มีความขัดแย้งทางศาสนาหรือวัฒนธรรมแต่อย่างใด" นางสาวรัชดา กล่าวทิ้งท้าย
-----------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณ : ภาพจากเฟซบุ๊ค รัชดา ธนาดิเรก