ทบทวนกันอีกครั้ง...เหตุระเบิดป่วนกรุงเทพฯและปริมณฑลที่เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 1 และ 2 สิงหาคม นับรวมจนถึงขณะนี้พบระเบิดแล้ว 17 ลูก แยกเป็น
- ระเบิดแสวงเครื่องแบบทำลายล้าง มีสะเก็ดระเบิดเป็น "ลูกปราย" (บางคนเรียก บอล แบริ่ง) พบ 9 ลูก ระเบิดทำงาน 6 ลูก เก็บกู้ได้ 3 ลูก
- ระเบิดเพลิงแสวงเครื่อง ไม่มีสะเก็ดระเบิด ไม่ได้มุ่งสังหารหรือทำลาย แต่มุ่งทำให้เกิดเพลิงไหม้ พบแล้ว 8 ลูก ระเบิดทำงาน 6 ลูก เก็บกู้ได้ 2 ลูก คือไม่ระเบิดตามเวลาที่ตั้งไว้ หรือระเบิดทำงานไม่สมบูรณ์
จะเห็นได้ว่าระเบิดเพลิงถูกวางไว้ในย่านการค้ากลางกรุงเทพฯ และมีหลายจุดเหมือนจงใจให้เกิดเพลิงไหม้ขนาดใหญ่
เจ้าหน้าที่จากหน่วยข่าวความมั่นคงประเมินว่า จุดมุ่งหมายการใช้ระเบิดเพลิงของคนร้าย ต้องการสร้างความเสียหายขนาดใหญ่เกินกว่าที่เจ้าหน้าที่คาดไว้ในตอนแรก โดยเฉพาะหากระเบิดทำงานตามเป้าทั้งหมด จะเกิดเพลิงไหม้ใหญ่หลายจุดในย่านการค้าและกลางกรุงเทพฯ ตั้งแต่ช่วงเช้ามืด ยังไม่สว่าง ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะปั่นป่วนมาก จากนั้นพอถึงตอนเช้า ช่วงที่ประชาชนกำลังเดินทางไปทำงาน ไปโรงเรียน ไปธุระ ช่วงที่คนพลุกพล่าน ก็เกิดระเบิดซ้ำอีก เป็นระเบิดสังหาร สร้างความตื่นตระหนกหนักขึ้น
หากเจาะเฉพาะระเบิดเพลิง เป้าหมายของคนร้ายคือทำให้เกิดไฟไหม้ใหญ่ตอนกลางคืน ซึ่งเป็นจุดอ่อนในการดับเพลิง เพราะเจ้าหน้าที่ทำงานยาก และแต่ละจุดที่คนร้ายเลือก เกือบทั้งหมดไม่มีระบบดับเพลิงอัตโนมัติ ฉะนั้นเจตนาของคนวางแผนจึงมุ่งทำลาย ไม่ใช่แค่ขู่ เพราะความเสียหายจะกระทบต่อเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศ โดยเฉพาะช่วงที่เกิดเหตุเป็นวันสุดท้ายของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพ และยังเป็นวันประชุมนัดแรกของนายกรัฐมนตรี ในฐานประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร.ด้วย
การวางแผนระดับนี้ต้องไม่ใช่ธรรมดา และเจ้าหน้าที่กำลังวิเคราะห์เพื่อสรุปให้ได้ว่า "มาสเตอร์ มายด์" หรือ "ผู้บงการ" คือใครกันแน่? ซึ่งล่าสุดเหลือแค่ 2 สมมติฐานเท่านั้น คือ ไฟใต้ขยายวง กับการสร้างสถานการณ์เพื่อหวังผลทางการเมือง
จากกาารตรวจสอบกับฝ่ายความมั่นคง พบว่าให้น้ำหนักไปที่ปม "ไฟใต้ขยายวง" มากกว่าการเมือง เพราะทีมปฏิบัติการ ทีมวางแผน และทีมสนับสนุน ล้วนเป็นคนจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แถมยังมีข้อมูลการเดินทางไปรับงานพร้อมเงินทุนสำหรับใช้ในปฏิบัติการถึงในประเทศเพื่อนบ้านด้วย โดยประเทศเพื่อนบ้านประเทศนี้เป็นสถานที่พักพิงหลบซ่อนของแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดนกลุ่มต่างๆ จำนวนมาก
คำถามคือ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนทำแล้วได้อะไร คำตอบก็คือการแสดงศักยภาพว่าขบวนการมีอยู่จริง และสามารถปฏิบัติการได้ในระดับประเทศ ไม่เฉพาะในพื้นที่จำกัดอย่างสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงเป็นการท้าทายฝ่ายความมั่นคง เพราะส่วนราชการอย่างกองทัพก็ถูกวางระเบิด ทั้งยังมุ่งสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจจากระเบิดเพลิงที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ใหญ่ได้ด้วย
การก่อเหตุรูปแบบนี้มีมาเป็นระยะ และหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เช่น
เดือนเมษายน ปี 58 คาร์บอมบ์ห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล เกาะสมุย และเผาสหกรณ์สุราษฎร์ฯ หรือ โคออป รวมทั้งห้างร้านและโกดังเก็บสินค้าอีกหลายแห่งในจังหวัดใกล้เคียง
เดือนสิงหาคมปี 59 ระเบิด 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน รวมแล้วราว 20 จุด มีหลายจุดที่ใช้ระเบิดเพลิงเผาร้านค้าและโกดังเก็บสินค้าขนาดใหญ่ในจังหวัดพังงา กระบี่ ตรัง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช
เดือนธันวาคมปี 59 เตรียมก่อวินาศกรรมในกรุงเทพฯ ล็อคเป้าห้างสรรพสินค้าและย่านเศรษฐกิจ แต่ถูกจับกุมได้เสียก่อน น่าสังเกตว่าจังหวะเวลาที่จะก่อเหตุ ตรงกับช่วงการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย หรือ เอซีดี เจ้าหน้าที่ฝายความมั่นคงบางหน่วยมองว่าเป็นการยกระดับ
เดือนธันวาคมปี 61 ระเบิดที่แหลมสมิหลา ทำลายรูปปั้นนางเงือกที่เป็นสัญลักษณ์ริมชายหาดซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพ ทั้งยังวางระเบิดซ้อนในบริเวณใกล้เคียงกันอีกหลายลูก
เดือนมีนาคมปี 62 คือปีนี้ เกิดระเบิดหลายจุดโจมตีสถานีตำรวจ และร้านค้าในจังหวัดสตูล และพัทลุง ซึ่งเป็นช่วงที่กลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนออกมาเคลื่อนไหวประเด็นครบรอบ 110 ปีของสนธิสัญญา "แองโกล-สยาม" ซึ่งไทยทำกับอังกฤษเมื่อ 110 ปีที่แล้ว และถูกมองว่าเป็นการแบ่งดินแดนมลายูออกเป็น 2 ส่วน ทำให้ "เมืองปาตานี" ตกเป็นของสยาม หรือไทยโดยสมบูรณ์ ทั้งๆ ที่คนในพื้นที่ไม่ได้ยินยอม
และล่าสุดคือวันที่ 1 กับ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา วางระเบิดเฉพาะที่พบแล้ว 17 ลูก ล็อคเป้าโจมตีสถานที่ราชการสำคัญ และย่านการค้า
ที่ต้องเน้นแบบ "ขีดเส้นใต้ 2 เส้น" ก็คือ เหตุเกิดในช่วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ซึ่งมีวงประชุม "อาเซียนกับคู่เจรจา" ที่มีผู้แทนจากชาติมหาอำนาจเข้าร่วมประชุมด้วยอย่างถ้วนหน้า
ฉะนั้นหากขบวนการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้คือ "มาสเตอร์มายด์" ผลที่ได้กลับมาจากสถานการณ์นี้ก็คือ "การประกาศให้โลกรู้" (ไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้นที่รู้) ว่าขบวนการต่อสู้มีตัวตนอยู่จริง
หลายคนอาจมีคำถามต่อว่า แล้วทำไมถึงต้องเร่งเครื่องก่อเหตุในช่วง 4-5 ปีหลังมานี้ คำตอบก็คือฝ่ายความมั่นคงมีข้อมูลค่อนข้างชัดว่า "กลุ่มบีอาร์เอ็น" ซึ่งเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่รัฐบาลไทยให้น้ำหนักมากที่สุด กำลังปรับยุทธศาสตร์การต่อสู้ โดยจะใช้ประโยชน์จาก "โต๊ะพูดคุยเจรจา" เพื่อปลดปล่อยดินแดนปาตานีให้ได้ภายในปี 2575
ขณะที่กระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังเริ่มเปิดโต๊ะรอบใหม่ หลังมีรัฐบาลใหม่ แม้จะใช้หัวหน้าคณะพูดคุยคนเดิม คือ พลเอกอุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แต่มีข่าวว่า "บีอาร์เอ็น" จะส่งตัวแทนเข้าร่วมโต๊ะพูดคุยอย่างเป็นทางการแน่นอน จากการประสานงานของมาเลเซีย ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของบีอาร์เอ็น คือ "เอกราช" ต่ำสุดคือ "เขตปกครองตนเอง" หรือ "เขตปกครองพิเศษ"
นี่คือยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่สอดรับกัน จนทำให้ฝ่ายความมั่นคงเกือบจะปักใจเชื่อว่า เหตุระเบิดในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลล่าสุดนี้ คือปฏิบัติการของกลุ่มจากชายแดนใต้ล้วนๆ ไม่มีกลิ่นการเมืองสีเสื้อเจือปน
แต่โจทย์ที่ยังขบไม่แตกของฝ่ายความมั่นคงก็คือ ไม่เคยมีการประกาศความรับผิดชอบหลังปฏิบัติการก่อเหตุรุนแรง ทำให้เจ้าหน้าที่บางส่วนยังเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ไม่น้อยเหมือนกันที่จะมี "ฝ่ายการเมือง" เข้าไปแทรกตัวและกดปุ่มสร้างสถานการณ์ เพื่อให้การก่อเหตุยกระดับเกินกว่าศักยภาพจริงของขบวนการ...
โดยสมประโยชน์กันทั้งกลุ่มการเมืองภายในประเทศ และฝั่งขบวนการแบ่งแยกดินแดน!