หลังจากเมื่อวันพุธที่ 7 ส.ค.62 พบระเบิดเพลิงเพิ่มเติมที่ร้านไพโรจน์เบเกอรี่ ซึ่งเปิดเป็นร้านจำหนายเสื้อผ้า แต่ยังใช้ชื่อเดิมที่เคยเป็นร้านขายขนม
ร้านแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนราชปรารภ ใกล้สี่แยกประตูน้ำ แขวงทุุ่งพญาไท เขตพญาไท แต่ระเบิดไม่ทำงาน เจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด หรือ อีโอดี จึงเข้าไปเก็บกู้เอาไว้ได้ และเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
จากระเบิดเพลิงที่พบเพิ่มเติม ทำให้จนถึงขณะนี้สรุปได้ว่ามีการวางระเบิดเพลิงเอาไว้ถึง 7 จุดระหว่างวันที่ 1-2 ส.ค.62 ประกอบด้วย แผงค้าย่านประตูน้ำ 3 จุด, ห้างแพลทตินัมประตูน้ำ 1 จุด, ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน 1 จุด ซึ่งเป็นโซนจำหน่ายตุ๊กตา, ร้านจำหน่ายตุ๊กตาบนห้างสยามสแควร์วัน 1 จุด และล่าสุดคือร้านไพโรจน์เบเกอรี่ โดยทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการวางระเบิดป่วนเมืองในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลช่วงวันที่ 1-2 ส.ค.ที่ผ่านมา
รูปแบบของระเบิดคล้ายคลึงกันแทบทุกจุด คือ ใช้เพาเวอร์แบงค์สีขาวเป็นภาชนะระเบิดเพื่อพรางตา แต่ไส้ในถูกแกะออก แล้วใส่แผงวงจรระเบิด และไอซี ไทม์เมอร์ เข้าไปแทน เชื่อมสายไฟกับแบตเตอรี่ หน่วงเวลาระเบิดไว้ให้ระเบิดทำงานช่วงเช้าวันที่ 2 ส.ค. โดยวัตถุระเบิดลักษณะนี้เป็นระเบิดแสวงเครื่องชนิดหนึ่ง มีสภาพเป็น "ระเบิดเพลิง" คนร้ายเลือกวางตามร้านขายเสื้อผ้าและตุ๊กตาผ้าซึ่งติดไฟง่าย หวังให้เกิดเพลิงไหม้หลายๆ จุดพร้อมกัน โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านสยามสแควร์ และประตูน้ำซึ่งเป็นย่านการค้า
รูปแบบของระเบิดเพลิงที่ประกอบใส่เพาเวอร์แบงค์ เคยถูกใช้แล้วเมื่อครั้งเหตุการณ์ระเบิด 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน เมื่อวันที่ 10-12 ส.ค. ปี 59 ทำให้เกิดเพลิงไหม้ร้านค้าและโกดังเก็บสินค้าในหลายจังหวัด โดยมีบางจุดที่ระเบิดไม่ทำงานด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้นยังมีการย้อนไปถึงเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ปี 58 ซึ่งมีการลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ที่ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล สาขาเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปรากฏว่าในคืนเดียวกันนั้นมีเพลิงไหม้โกดังเก็บสินค้าและร้านค้าอีกหลายแห่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและใกล้เคียง คาดว่าเป็นการลอบวางระเบิดเพลิงลักษณะเดียวกัน
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยยุทธวิธีซ้ำเดิมหลายครั้ง ทำให้ล่าสุดหน่วยงานความมั่นคงได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการแจ้งเตือนร้านค้า โดยเฉพาะร้านจำหน่ายเสื้อผ้า ตุ๊กตาผ้า และโกดังเก็บสินค้าที่ติดไฟง่าย ให้ตรวจสอบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดของร้าน เพราะอาจมีบุคคลต้องสงสัยเข้ามาวางระเบิดเอาไว้แต่ไม่ระเบิด เบื้องต้นเน้นในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลก่อน
ส่วนมาตรการหลังจากนี้ จะรณรงค์และสนับสนุนร้านค้าเป้าหมายที่เป็น "กลุ่มเสี่ยง" ต้องติดตั้งกล้องวงจรปิด และตรวจสอบคนเข้าออก รวมทั้งตรวจชั้นวางสินค้าอย่างสม่ำเสมอ วันละอย่างน้อย 2 ครั้ง เพื่อป้องกันการลอบก่อเหตุร้ายในลักษณะนี้ ซึ่งเป็นยุทธวิธีที่คนร้ายนิยมนำมาใช้เพื่อสร้างสถานการณ์วินาศกรรมในเขตเมือง
"โดยมากบริษัท ห้างร้าน หรือห้างสรรพสินค้า ยังให้ความสำคัญกับการตรวจสอบบุคคลที่มีลักษณะแปลกๆ แต่งกายแปลกๆ ที่เข้า-ออกร้าน ฉะนั้นต้องประชาสัมพันธ์ให้เพิ่มความเข้มงวดเพื่อช่วยกันเป็นหูเป็นตา" แหล่งข่าวจากหน่วยงานความมั่นคง ระบุ
ขณะที่ภาครัฐเองก็ต้องปรับแผนของตนด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะสถานที่ที่เป็นเป้าหมายเชิงสัญลักษณ์ เช่น กองทัพ ทำเนียบรัฐบาล เพราะที่ผ่านมาเน้นการป้องกันภายใน เช่น ควบคุมการเข้าออก แต่ไม่ได้วางมาตรการป้องกันนอกอาคาร นอกรั้วโดยรอบ และยังไม่มีการฝึกทักษะเจ้าหน้าที่ให้เฝ้าตรวจซีซีทีวี หรือโทรทัศน์วงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมง ฉะนั้นควรใช้เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนและกระตุ้นให้เกิดการยกระดับมาตรการในภาพใหญ่
ในจุลสารความมั่นคงศึกษา ฉบับที่ 51 เรื่อง "ความมั่นคงเมือง" หรือ urban security ที่เขียนโดย ศาสตราจารย์ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุตอนหนึ่งว่า ความเชื่อเดิมที่ว่า "เขตเมือง" เป็นพื้นที่ที่มีความปลอดภัยมากที่สุด อาจไม่เป็นความจริงอีกต่อไป เพราะในทางตรงข้าม "เขตเมือง" จะกลายเป็นพื้นที่ที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของรัฐบาลทุกประเทศในการระวังป้องกัน เพราะเป็นพื้นที่ที่มีประชาชนอยู่อย่างหนาแน่น เป็นศูนย์รวมของระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ ซึ่งจะกลายเป็นเป้าหมายสำคัญที่กลุ่มก่อการร้ายต้องการโจมตี เพื่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อประเทศ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ "เมือง" เป็น "เป้าหมายอ่อน" หรือ soft target ของการก่อการร้ายนั่นเอง
เนื้อหาในจุลสาร ยังได้เสนอมาตรการรักษาความปลอดภัยเมือง ซึ่งนอกจากจะมีเรื่องของการเพิ่มอุปกรณ์เฝ้าตรวจแล้ว ยังต้องมีการทำความเข้าใจกับประชาชนให้ตระหนักถึงความอ่อนไหวและความล่อแหลมในเรื่องนี้ด้วย เพราะการป้องกันการก่อวินาศกรรม ก่อความไม่สงบ หรือก่อการร้าย ไม่สามารถใช้มาตรการของหน่วยงานภาครัฐได้เพียงลำพังอีกต่อไป
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณ : ทีมข่าวอาชญากรรม เนชั่นทีวี เอื้อเฟื้อภาพวัตถุพยานที่พบในร้านรุ่งเรืองเบเกอรี่ เป็นระเบิดที่ประกอบในตัวถังเพาเวอร์แบงค์