
พรรคเพื่อไทยเพิ่งได้หัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ขยับไปก่อนหน้าเล็กน้อย
แต่การเมืองไทยยุคเปลี่ยนผ่าน การเปลี่ยนโครงสร้างผู้บริหารพรรค อาจไม่ได้ช่วยให้พรรคหวนกลับมายิ่งใหญ่ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้เสมอไป
สถานการณ์ของสองพรรคที่มีการเปลี่ยนแปลงในห้วงเวลาใกล้เคียงกัน แต่จะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่สิ่งที่ไม่แตกต่างกันคือ อยู่ในภาวะ “ขาลง”
เพียงแต่ประชาธิปัตย์ลงหนักกว่า และเป็นพรรคเก่าแก่กว่า
เพื่อไทยเสียแชมป์ครั้งแรกในการเลือกตั้งปี 66 แต่ได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองเป็นรัฐบาล ทว่าไม่สามารถสร้างผลงานและคะแนนนิยมได้ สุดท้ายสะดุดขาตัวเอง...ตกเก้าอี้
ดร.สติธร ธนานิธิโชติ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สรุปบทเรียนจากพรรคการเมืองทั่วโลก เพื่อเสนอ 4 เคล็ดหลับ ที่จะพา “พรรคการเมืองใกล้หลับ” ให้กลับมา
@@ เกือบหลับแต่กลับมาได้ : บทเรียน “การฟื้นคืนชีพ” ของพรรคการเมืองโลก
ในโลกของการเมือง ไม่มีพรรคใดอยู่ยืนยงได้โดยไม่ผ่านจุดตกต่ำ หลายพรรคที่เคยรุ่งเรืองกลับ “เกือบหลับ” จากความนิยมที่ร่วงลงอย่างหนัก แต่ก็สามารถ “กลับมาได้” ด้วยการปรับตัวให้ทันสังคม เศรษฐกิจ และเจเนอเรชันใหม่
สำหรับประเทศไทย พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยเป็นสองขั้วใหญ่ของการเมือง กำลังอยู่ในจุดที่ต้องพิสูจน์ว่าพวกเขาจะ “กลับมาได้” อีกครั้งหรือไม่ ในวันที่ “คนรุ่นใหม่” หันไปมองทางเลือกอื่น ส่วน “คนบ้านใหญ่” ก็ต้องการที่พักพิงที่มั่นคง
ประสบการณ์จากต่างประเทศชี้ให้เห็นว่า พรรคการเมืองที่เคยตกต่ำอย่างรุนแรงก็สามารถกลับมาครองใจประชาชนได้อีกครั้ง หากรู้จัก “เรียนรู้ ปรับตัว และใช้โอกาสให้เป็น” ตัวอย่างจากสหราชอาณาจักร กรีซ เยอรมนี และญี่ปุ่น แสดงให้เห็นเส้นทางแห่งการ “ล้มแล้วลุก” ที่อาจเป็นบทเรียนสำคัญให้พรรคการเมืองไทยได้พิจารณา
@@ พรรคแรงงานของสหราชอาณาจักร : จากความพ่ายแพ้ครั้งเลวร้าย สู่การรีแบรนด์ระดับชาติ
หลังจากต้องอยู่นอกอำนาจนานถึง 14 ปี พรรคแรงงานของสหราชอาณาจักรกลับมาคว้าชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งปี 2024 ปิดฉากยุคของพรรคอนุรักษ์นิยมที่ถูกมองว่า “หมดพลัง” จากปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ และความวุ่นวายทางการเมืองที่เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีถึงสามคนในเวลาไม่ถึงสี่เดือน
ภายใต้การนำของ เคียร์ สตาร์เมอร์ (Keir Starmer) พรรคแรงงานใช้สโลแกนเรียบง่ายแต่ทรงพลังว่า “Change” พร้อมวางตัวเป็นสัญลักษณ์ของ “เสถียรภาพ” ท่ามกลางความโกลาหลของรัฐบาลเก่า
แม้สตาร์เมอร์จะไม่ใช่ผู้นำที่ทรงเสน่ห์และสร้างแรงศรัทธา (charismatic leader) แต่เขาประสบความสำเร็จในการฟื้นภาพลักษณ์ของพรรคให้กลับมาน่าเชื่อถือในสายตาผู้มีสิทธิเลือกตั้งสายกลางผ่านการประกาศภารกิจใหญ่ในการกอบกู้ระบบบริการสาธารณะ เช่น ระบบสุขภาพแห่งชาติและขนส่งมวลชน การแก้วิกฤตเศรษฐกิจและค่าครองชีพ รวมถึงการฟื้นความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหภาพยุโรปโดยไม่ต้องกลับเข้าไปเป็นสมาชิก
@@ พรรคประชาธิปไตยใหม่ของกรีซ : จากพรรคตกต่ำสู่สัญลักษณ์แห่งเสถียรภาพ
พรรคประชาธิปไตยใหม่ (ND) ของกรีซเคยเผชิญความตกต่ำอย่างหนักหลังวิกฤตหนี้สาธารณะปี 2009 แต่ภายใต้การนำของ คีเรียกอส มิตโซทาคิส (Kyriakos Mitsotakis) พรรคสามารถพลิกภาพลักษณ์จากพรรคเก่าอนุรักษ์นิยมที่ถูกมองว่าเป็นต้นเหตุของวิกฤต กลายเป็น “พรรคแห่งเสถียรภาพและการเติบโต” ในปี 2023 ND ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในรอบสองภายในห้าสัปดาห์ คว้ากว่า 40% ของคะแนนเสียง และครองเสียงข้างมากในรัฐสภา 300 ที่นั่งได้อย่างสบาย
มิตโซทาคิส วัย 55 ปี ผู้มาจากตระกูลการเมืองเก่าแก่และจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สร้างแบรนด์ให้พรรคเป็น “มืออาชีพและโปรธุรกิจ” โดยชูนโยบายฟื้นเศรษฐกิจ ลดการว่างงาน และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ แม้รัฐบาลของเขาจะเผชิญทั้งเหตุเรือล่มและอุบัติเหตุรถไฟร้ายแรง แต่ชาวกรีกจำนวนมากยังเลือก ND เพราะต้องการ “ความมั่นคงมากกว่าการเปลี่ยนแปลงแบบเสี่ยง” นี่คือพรรคที่ “เกือบหลับแต่กลับมาได้” ด้วยพลังของเสถียรภาพและความต่อเนื่อง
@@ พรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียนของเยอรมนี : เมื่อพรรคเก่าเรียนรู้จะเป็นศูนย์กลางของความมั่นคงใหม่
หลังยุคของ อังเกลา แมร์เคิล (Angela Merkel) ที่สิ้นสุดในปี 2021 พรรค สหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) เคยตกต่ำ สูญเสียอำนาจให้กับพรรคสังคมประชาธิปไตย (SPD) และเผชิญความสับสนด้านอัตลักษณ์ทางการเมือง แต่ภายใต้การนำของ ฟรีดริช เมิร์ซ (Friedrich Merz) พรรคกลับมาผงาดอีกครั้งใน การเลือกตั้งระดับชาติปี 2025 ด้วยคะแนนเสียงกว่า 30% ชนะขาดและครองตำแหน่งพรรคใหญ่ที่สุดในรัฐสภา สะท้อนการฟื้นความเชื่อมั่นในพรรคกลาง - ขวาที่เน้น “เสถียรภาพ ความมั่นคง และการบริหารแบบมืออาชีพ”
การกลับมาครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางภูมิทัศน์การเมืองที่เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง - พรรคขวาจัด AfD เพิ่มคะแนนเป็นกว่า 20% และขยายฐานจากภาคตะวันออกไปสู่ภาคตะวันตก ขณะที่พรรค SPD ของนายกรัฐมนตรี โอลาฟ ชอลซ์ ทำผลงานต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษ โดยได้คะแนนเสียงเพียง 16.4%
แม้สังคมเยอรมันจะ “แตกขั้ว” มากขึ้นระหว่างคนรุ่นใหม่ที่หันไปซ้ายจัดหรือขวาจัด แต่กลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งวัยกลางคนขึ้นไปกลับเทคะแนนให้ CDU ในฐานะพรรคที่ “ไว้ใจได้” และส่งให้เมิร์ซกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “การฟื้นคืนพลังแห่งศูนย์กลาง” CDU ที่เคยเกือบหลับจึงกลับมายืนได้อีกครั้งด้วยพลังของความมั่นคงทางสถาบันและความมีเหตุมีผลในยามที่การเมืองรอบข้างไร้เสถียรภาพ
@@ พรรคเสรีประชาธิปไตยของญี่ปุ่น : พรรคเก่าที่รอดทุกวิกฤต
กรณีของญี่ปุ่นถือเป็นตัวอย่าง “คลาสสิก” ของพรรคที่ผ่านประสบการณ์การฟื้นคืนชีพจากความตกต่ำหลายต่อหลายครั้ง พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งครองอำนาจแทบจะต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1955 เคยประสบความพ่ายแพ้ครั้งประวัติศาสตร์ในปี 2009 เมื่อพ่ายให้กับพรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น (DPJ) อย่างถล่มทลาย และต้องไปเป็นฝ่ายค้านเป็นครั้งที่สองในรอบกว่าครึ่งศตวรรษ
สาเหตุหลักคือ “ความเหนื่อยหน่ายทางการเมือง” จากการครองอำนาจยาวนาน ปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซา และคดีอื้อฉาวที่กัดกร่อนความเชื่อมั่นของประชาชน
แต่เพียงสามปีต่อมา พรรค LDP ก็สามารถ “โกงความตายทางการเมือง” ได้อย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้การนำของ ชินโซ อาเบะ (Shinzo Abe) ผู้ผลักดันนโยบายเศรษฐกิจชุดใหญ่ภายใต้ชื่อ “อะเบะโนมิกส์ (Abenomics)” ที่มุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นความมั่นใจของสังคม การเลือกตั้งปี 2012 นำพา LDP กลับมาครองอำนาจอย่างถล่มทลายและปกครองประเทศอย่างต่อเนื่องยาวนานอีกครั้ง
ล่าสุดในปี 2025 พรรค LDP เผชิญความท้าทายใหม่ หลังพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งและสูญเสียเสียงข้างมากในทั้งสองสภา การเลือกตั้งภายในพรรคได้ผลักดันให้ ซาเนะ ทะคะอิชิ (Sanae Takaichi) อดีตรัฐมนตรีด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคและกำลังจะเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้สะท้อนความพยายามของพรรคในการ “รีแบรนด์” ตนเองอีกครั้ง เพื่อฟื้นศรัทธาในหมู่ประชาชนและรับมือกับความท้าทายยุคใหม่ ทั้งเศรษฐกิจชะลอตัว ประชากรสูงวัย และแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียตะวันออก
จากประวัติศาสตร์การฟื้นตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ผ่านมา พรรค LDP ถือเป็นภาพแทนของพรรคที่ไม่ยอมให้ความเหนื่อยล้าทางการเมืองกลืนหายไป แต่ใช้มันเป็นพลังในการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
@@ บทเรียนจาก “การกลับมา” : 4 สูตรลับของพรรคที่ไม่ยอมแพ้
เมื่อพิจารณากรณีของพรรคการเมืองที่ “เกือบหลับแต่กลับมาได้” ทั้งในยุโรปและเอเชีย จะเห็นได้ว่าความสำเร็จของการฟื้นคืนชีพไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หากแต่เป็นผลจากการปรับตัวอย่างเป็นระบบในหลายมิติ
ปัจจัยแรกคือผู้นำใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ การเปลี่ยนผู้นำไม่เพียงหมายถึงการเปลี่ยนตัวบุคคล แต่ยังหมายถึงการสร้างความหวังใหม่และการสื่อสารภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากอดีต เช่น เคียร์ สตาร์เมอร์ ของพรรคแรงงาน หรือฟรีดริช เมิร์ซ ของ CDU ต่างเข้ามาในจังหวะที่พรรคต้องการ “ความมั่นคงในความเปลี่ยนแปลง”
ปัจจัยที่สองคือการปรับอุดมการณ์และนโยบายให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมการเมือง พรรคที่ฟื้นตัวได้มักเข้าใจ “อารมณ์ของสังคม” และรู้ว่าผู้คนในแต่ละช่วงเวลาให้ความสำคัญกับอะไร ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ ความมั่นคง หรือคุณภาพชีวิต การปรับนโยบายจากแนวคิดสุดโต่งสู่ความเป็นกลางที่จับต้องได้ มักเป็นกุญแจสำคัญในการดึงดูดฐานเสียงกว้างขึ้น
ปัจจัยที่สามคือการสร้างเอกภาพภายในพรรค พรรคที่เคยพ่ายแพ้มักเต็มไปด้วยความแตกแยกภายใน การจัดระเบียบใหม่และการบริหารภายในที่เข้มแข็งช่วยให้พรรคกลับมามีเสถียรภาพและความเชื่อมั่นจากสมาชิก เช่นเดียวกับกรณีของพรรคแรงงานภายใต้สตาร์เมอร์ที่เน้น “ระเบียบวินัยภายในองค์กรพรรค” เพื่อฟื้นความน่าเชื่อถือ
สุดท้าย การใช้ประโยชน์จากความผิดพลาดของคู่แข่ง คือช่วงเวลาทองของการกลับมา พรรคที่อ่านเกมการเมืองได้เฉียบขาดมักรู้จัก “รอจังหวะ” และเสนอทางเลือกใหม่ในเวลาที่ประชาชนหมดศรัทธาต่อรัฐบาลหรือพรรคฝ่ายตรงข้าม ตัวอย่างเช่น พรรคประชาธิปไตยใหม่ของกรีซที่กลับมาชนะเลือกตั้งหลังประชาชนผิดหวังจากรัฐบาลฝ่ายซ้าย หรือพรรค LDP ของญี่ปุ่นที่รุกกลับได้ทันทีหลัง DPJ ล้มเหลวในการบริหารประเทศ
ทั้งหมดนี้สะท้อนบทเรียนร่วมว่า พรรคการเมืองที่ฟื้นได้ไม่ใช่พรรคที่ไม่เคยล้ม แต่คือพรรคที่ “รู้จักเรียนรู้จากการล้ม” และกล้าที่จะปรับตัวให้เข้ากับความคาดหวังของยุคสมัย การเรียนรู้และความกล้าคือพลังที่ทำให้พวกเขากลับมาได้อีกครั้ง แม้เคยเกือบหลับไปแล้วก็ตาม
@@ บทสรุป: ทางรอดของพรรคเก่าในการเมืองไทย
กรณีของพรรคแรงงาน พรรค ND พรรค CDU และพรรค LDP สะท้อนว่า “ความตกต่ำ” ไม่ได้หมายถึง “จุดจบ” หากแต่เป็น “จุดเริ่มต้นของการปรับตัว” พรรคการเมืองจะกลับมาได้ก็ต่อเมื่อเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสังคม และพร้อมปรับตัวให้สอดคล้องกับความคาดหวังของประชาชน
สำหรับการเมืองไทยในวันนี้ ทั้ง พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ กำลังยืนอยู่บนทางแยกเช่นเดียวกัน พรรคเพื่อไทยแม้จะยังคงมีโครงสร้างและเครือข่ายที่เข้มแข็ง แต่ต้องตอบคำถามเรื่องความเชื่อมโยงแนวทางของพรรคกับความคาดหวังของคนรุ่นใหม่และความสอดคล้องกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยของโลกยุคปัจจุบัน
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยเป็นพรรคใหญ่ระดับชาติ ก็ต้องเผชิญกับโจทย์ใหญ่ทั้งเรื่องภาพลักษณ์ ความเป็นผู้นำ และการสื่อสารกับสังคมยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงจากช่วงเวลาที่พรรคเคยรุ่งเรือง
บทเรียนจากต่างประเทศจึงเตือนให้เห็นว่า “พรรคการเมืองจะอยู่รอดไม่ได้ด้วยอดีต แต่ด้วยการปรับตัวต่ออนาคต” การฟื้นคืนความนิยมไม่ใช่เรื่องของโชค หากแต่เป็นศิลปะของการสร้างความหวังใหม่ให้กับประชาชนในเวลาที่พวกเขาต้องการ “ทางเลือกที่เชื่อถือได้” อีกครั้ง
