
ท่ามกลางสถานการณ์การสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยังมองไม่เห็นบทจบที่ชัดเจน
นักวิชาการด้านความมั่นคงที่ได้รับการยอมรับ อย่าง ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข คาดหมายจุดสุดท้ายของสงคราม และจุดสุดท้ายของการรบเอาไว้ ทำให้มองเห็นภาพอันพร่ามัวหากคาดหวังแบบเดินในทุ่งลาเวนเดอร์ว่า ปัญหานี้จะ “จบสวย”
โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และพลเมืองของทั้งสองชาติ ซึ่งน่าจะกลับมาประสานสามัคคี หรือมีความรู้สึกดีๆ กันยากอย่างยิ่ง แต่กลับมีบ้านติดกัน และไม่สามารถย้ายประเทศหนีกันไปได้
ฉะนั้นข้อเสนอในเรื่องการหาทางออกจากสงคราม และการลดความรุนแรงของสงคราม จึงเป็นเรื่องที่ อาจารย์สุรชาติ กระตุกเตือนให้ทุกฝ่ายเร่งคิดและเตรียมการเอาไว้โดยด่วน
ยังไม่นับการปิดจุดอ่อนด้านการสื่อสาร และการทำงานที่ล่าช้า ไม่เห็นผลเชิงรูปธรรมทั้งของกระทรวงการต่างประเทศ...และรัฐบาล
@@ ข้อสังเกตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา
สถานการณ์การรบระหว่างไทยกับกัมพูชาเกิดขึ้น และมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น จากการใช้อาวุธยิงตอบโต้กัน
ดังนั้น หากพิจารณาสถานการณ์ในภาพรวม เราอาจตั้งข้อสังเกตได้ ดังนี้
1.อะไรคือจุดสุดท้ายของสงคราม (End State)
คำตอบ คือ รัฐบาลกัมพูชามีท่าทีชัดเจนที่ต้องยกระดับปัญหาสู่เวทีสากล และจุดสุดท้ายคือ การปรับปรุงเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา ส่วนไทยคงต้องการดำรงสภาวะเดิม (status quo) และดูจะไม่มีนโยบายอะไรในเรื่องนี้
2.อะไรคือจุดสุดท้ายของการรบ
คำตอบ คือ ในทุกการรบยุติได้ด้วย “การเจรจาและการหยุดยิง” แต่ปัญหาคือ การหยุดยิงจะเริ่มได้จริงเมื่อใด และการเจรจาจะปรากฏในรูปแบบใดเพื่อยุติปัญหาที่เกิดขึ้น
3.สำหรับรัฐบาลไทยนั้น ชัดเจนว่าต้องการการเจรจาที่เป็นทวิภาคี ส่วนกัมพูชาต้องการเป็นพหุภาคี จึงมีความต้องการดันให้ปัญหาไปสู่เวทีโลก สภาวะเช่นนี้จึงตอบได้ยากว่า การรบจุดยุติด้วยการเจรจาแบบใด
4.อนาคตของพี่น้องประชาชนใน 2 บ้านจะอยู่กันอย่างไร จะสมานแผลอย่างไร เพราะในทางภูมิรัฐศาสตร์ไม่มีประเทศใดย้ายบ้านหนีจากกันได้ และจะต้องอยู่ด้วยกันไปในอนาคต
5.อนาคตของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล 2 ประเทศจะดำเนินไปอย่างไร ดังที่กล่าวในทางภูมิรัฐศาสตร์ ถึงอย่างไรในความเป็นประเทศเพื่อนบ้านจะต้องอยู่ร่วมกัน
6.ถ้าความขัดแย้งลากยาวไป ต้องระมัดระวังการเข้าแทรกแซงของรัฐมหาอำนาจในการเป็นคนกลางในการเจรจา ซึ่งน่าสนใจต่อบทบาทของจีนในกรณีนี้ เพราะทุกฝ่ายจับตามมองว่า จีนจะแสดงท่าทีอย่างไรกับความขัดแย้งครั้งนี้
7.ในสงครามชายแดน มีสงครามข่าวสาร สงครามข่าวปลอม ต้องระวังข่าวปลอม เพราะมีปัญหานี้เกิดขึ้นใน 2 ประเทศ และเป็นการสร้างข่าวเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในสงคราม
8.การกำหนดจุดสมดุลระหว่างบทบาทฝ่ายการเมืองกับฝ่ายทหาร ฝ่ายการเมืองจะมีบทบาทนำได้อย่างไร ถ้าไม่มีความเข้าใจเรื่องความมั่นคง
9.การปลุกกระแสชาตินิยมเป็นปัจจัยสำคัญเสมอในสงครามชายแดน ภาพการโจมตีของทหารกัมพูชาเป็นสิ่งที่ตอบสนองต่อการแสชาตินิยมกัมพูชาในประเทศอย่างชัดเจน กระแสสนับสนุนสงครามแบบชาตินิยมไทยก็ไม่น้อยกว่าฝั่งกัมพูชา
10.ในสงครามต้องมีการหาทางออก การคิดหาทางออกจากสงครามต้องเริ่มคิดอย่างจริงจัง เพราะทั้ง 2 ประเทศรบไม่ได้ในระยะยาว เพราะจะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจและชีวิตประชาชน ดังนั้น จะต้องคิดทางยุทธศาสตร์ในเรื่อง “De-escalation of War” (การลดระดับความรุนแรงของสงคราม) ให้ได้
11.การสื่อสารทางการเมืองของรัฐบาลไทยกับสังคมภายในเป็นประเด็นสำคัญ จนปัจจุบันยังไม่เห็นแถลงการณ์อย่างเป็นทางการของรัฐบาล และการสื่อสารต้องไม่ใช่การแสดงออกในแบบ “แซว” ผู้นำอีกฝ่ายหนึ่งให้สนุกปาก
12.การสื่อสารทางการเมืองของรัฐบาลไทยกับเวทีสากล เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเวทีระหว่างประเทศไม่เห็นปัญหาใกล้ชิด ฉะนั้น การสื่อสารต้องเน้นการส่งข้อมูลกับเวทีสหประชาชาติ อาเซียน และสื่อระหว่างประเทศด้วย เพราะภาพการโจมตีเป้าหมายเปราะบาง (soft targets) หลายจุดในไทย น่าจะไม่เป็นผลดีกับภาพลักษณ์ของรัฐบาลกัมพูชาในเวทีโลก
@@ ท้ายบท
ในท้ายที่สุด คงต้องติดตามดูว่าการสู้รบครั้งนี้จะจบลงอย่างไร เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า สงครามครั้งนี้มีผลอย่างมากกับสถานะทางการเมืองภายในของประเทศทั้ง 2 และที่สำคัญมีผลอย่างมากกับความรู้สึกของคนในสังคมของทั้ง 2 ฝ่ายอย่างมากในอนาคต
