
สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงที่ผ่านมา ต้องนิยามว่า “ร้อนแรง และ ขยายวง”
เหตุการณ์ที่ยึดพื้นที่ข่าวได้หลายวัน คือ การพยายามลอบวางระเบิดในจังหวัดชายทะเลอันดามันซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ โดยเฉพาะภูเก็ต มีการนำรถมอเตอร์ไซค์บอมบ์ไปจอดถึงในสนามบิน
แต่โชคยังดีที่ระเบิดแสวงเครื่องถูกจุดถูกเก็บกู้และเคลียร์ได้ทันเวลา จึงไม่ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนซ้ำเติมรัฐบาลมากนัก โดยที่ฝ่ายการเมืองก็เงียบๆ ไป ไม่ได้ออกแอคชั่นอะไรมากมาย เนื่องจากโดนปัญหาการเมืองรุมเร้า
ขณะที่ในพื้นที่ชายแดนใต้เองก็มีเหตุรุนแรงที่ต้องจับตา คือการซุ่มยิง หรือลอบยิงจากระยะไกล มีเจ้าหน้าที่รัฐตกเป็นเป้าหลายราย ล่าสุดคือ ตำรวจ สภ.กรงปินัง จังหวัดยะลา ถูกยิงหน้าร้านสะดวกซื้อ “เซเว่น - อีเลฟเว่น” ในเขตชุมชน เหตุเกิดเมื่อตอนค่ำของวันที่ 5 ก.ค.68 ที่ผ่านมา หลายคนที่ได้เห็นภาพจากกล้องวงจรปิดแล้ว จะพบว่าน่าสะพรึงกลัวมาก
คนร้ายอยู่ทางไหนก็ไม่รู้ แต่จู่ๆ ก็ยิงตำรวจที่เดินออกจากเซเว่นฯ ล้มลงเห็นๆ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

เหตุการณ์ครั้งนั้น แม้แต่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของตำรวจชายแดนใต้ยังรับไม่ได้ มีการส่งไลน์ตำหนิหัวหน้าสายตรงของตำรวจผู้เสียชีวิต ว่าเหตุใดจึงไม่เข้มงวดให้ระวังตัว ถือเป็นการสูญเสียที่เกิด “ง่ายเกินไป” ส่งผลให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นตำรวจ
@@ 2 คำถาม 2 มุม จากเหตุร้าย “ซุ่มยิง”
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีประเด็นที่ต้องขยายผลเพิ่มเติม 2 ประการ คือ
1.มาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และดูแลตัวเองของกำลังพลในพื้นที่เสี่ยง หรือ “พื้นที่สีแดง” ยังต่ำเกินไปหรือไม่
- เรื่องนี้ตำรวจด้วยกันให้ข้อมูลว่า อำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลา เป็นพื้นที่สีแดง มีกฎเหล็กของการออกปฏิบัติหน้าที่ ต้องสวมเสื้อเกราะ หมวกเหล็ก และอาวุธปืนยาว ฉะนั้นในมุมนี้ ผู้บังคับบัญชาสายตรงของตำรวจที่เสียชีวิตจึงถูกตั้งคำถามว่าได้เน้นย้ำกำลังพลให้ระมัดระวังตัวตามกฎเหล็กที่กำหนดไว้หรือไม่
2.การก่อเหตุลักษณะนี้ เรียกว่าเป็นยุทธวิธีแบบ “สไนเปอร์” หรือ “ซุ่มยิงจากระยะไกล” โดยใช้ “ปืนติดกล้อง” หรือไม่
- เราสอบถาม พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ได้ข้อมูลว่า ไม่ยืนยันว่าเป็น “สไนเปอร์” หรือ “ปืนติดกล้อง” หรือไม่ แต่เจ้าหน้าที่เคยพบ “ปืนซุ่มยิงติดกล้อง” จากคนร้ายที่ถูกวิสามัญฯ เสียชีวิตจากการปะทะรายหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ในพื้นที่อำเภอกรงปินัง
แต่การซุ่มยิงระยะไม่เกิน 100 เมตร โดยใช้ปืนเล็กยาว ถ้ามือปืนมีความแม่นจริงๆ ก็ยิงได้ และใช้วิธียิงเป้าหมายทีละนัด ทำให้ป้องกันยาก แต่พฤติการณ์แบบนี้ไม่ถึงกับเป็น “สไนเปอร์” เพราะระยะไม่ถึง 100 เมตร จัดเป็นการ “ซุ่มยิง” ทั่วไป

- แต่จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ ทั้งทหารและตำรวจ ยืนยันว่า มือปืนที่ใช้ “ปืนติดกล้อง” หรือ “สไนเปอร์” ในพื้นที่ชายแดนใต้ “มีอยู่จริง” เคยยึดของกลางได้จากการปะทะด้วยซ้ำ ถือเป็นยุทธวิธีใหม่แบบ “ตามเก็บ” ที่คนร้ายนำมาใช้ และป้องกันยาก เพราะแม้จะใส่เสื้อเกราะ มือปืนก็เล็งที่ศีรษะได้ เสื้อเกราะก็ป้องกันไม่ได้อยู่ดี
@@ ปี 68 ซุ่มยิงแล้ว 7 ครั้ง ดับ 3 สาหัส 4
จากการรวบรวมข้อมูลของ “ทีมข่าวอิศรา” พบว่า เหตุยิงเป้าหมายที่เป็นเจ้าหน้าที่ในลักษณะซุ่มยิง หรือ “สไนเปอร์” เฉพาะปี 68 เกิดมาแล้วอย่างน้อย 7 ครั้ง มีกำลังพลเสียชีวิต 3 นาย บาดเจ็บสาหัส 4 นาย เป้าหมายทุกรายถูกยิงเข้าจุดสำคัญ ไม่ศีรษะ ก็หน้าอก (อ่านรายละเอียดเหตุการณ์ด้านท้ายของรายงานชิ้นนี้)
การก่อเหตุในลักษณะลอบยิงจากระยะไกล ถือว่าเป็นยุทธวิธีที่แม้จะสร้างความสูญเสียต่อกำลังเจ้าหน้าที่ได้น้อยกว่าการนำกำลังและอาวุธจำนวนมากบุกไปโจมตีฐานปฏิบัติการ หรือยานพาหนะของเจ้าหน้าที่ แต่ก็เป็นยุทธวิธีที่สร้างความสูญเสียให้เจ้าหน้าที่ได้อย่างแน่นอนกว่า
หลายเคสที่เกิดขึ้นในปีนี้ คนร้ายใช้การยิงเพียง 1 – 2 นัด กับเป้าหมายบุคคล คนร้ายมีเวลาในการเลือกและล็อกเป้า จนสามารถยิงถูกจุดสำคัญๆ เช่น ศีรษะ หน้าอก จนทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต หรือบาดเจ็บสาหัส
หลังก่อเหตุเสร็จก็หลบหนีได้เลย ไม่ต้องยิงปะทะจนเป็นการเปิดเผยจุดที่ตั้งของตัวเอง ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถตั้งตัวหรือตอบโต้ได้ทัน ทำให้สามารถหลบหนีหลังก่อเหตุไปได้อย่างปลอดภัย
ที่สำคัญการซุ่มยิงจากระยะไกลแบบนี้ไม่ต้องใช้กำลังคนและอาวุธเยอะ อาจจะมีแค่มือยิงกับคนดูต้นทาง ซึ่งจะเป็นคนที่รู้พื้นที่ เมื่อใช่คนน้อยย่อมคล่องตัวในการหลบหนี
@@ เปิดแผนประทุษกรรม “ก่อการร้ายเขตเมือง”
อย่างเคสยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สภ.กรงปินัง เป็นการซุ่มยิงจากระยะไกล คนร้ายอาจจะมาเพียงคนเดียว หรือมีคนดูต้นทางด้วยอีก 1 คน แต่ใช้อาวุธปืนกระบอกเพียง 1 กระบอกในการก่อเหตุยิงตำรวจ
เพราะภาพจากคลิปขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกยิง หากคนร้ายมีกำลังคนมาก และมีอาวุธปืนมากกว่า 1 กระบอก น่าจะยิงตำรวจได้ในคราวเดียวทั้ง 2 นาย เพราะในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีตำรวจ 2 คนกำลังเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อพร้อมกัน ฉะนั้นหากคนร้ายมีมากกว่า 1 คน คงไม่ปล่อยให้ตำรวจอีกคนตั้งตัวหาที่หลบได้ และหลังก่อเหตุเสร็จ คนร้ายก็หลบหนีไปทันที โดยที่ตำรวจที่รอดจากการถูกซุ่มยิงก็ยังไม่รู้เลยว่าเพื่อนถูกยิงมาจากทิศทางไหน
อีกทั้งข้อมูลจากการเข้าตรวจที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุน ขนาด 5.56 มม. ที่คนร้ายใช้ยิงเพียง 1 ปลอก ตกอยู่บริเวณโรงจอดรถฝั่งตรงข้ามร้านสะดวกซื้อ ห่างจากจุดที่ตำรวจถูกยิงประมาณ 50 เมตร ซึ่งเป็นการยืนยันได้ว่าคนร้ายที่ก่อเหตุน่าจะมีคนเดียว มีปืนกระบอกเดียว ซุ่มยิงตำรวจเสร็จแล้วก็หลบหนีออกไปจากพื้นที่ก่อเหตุทันที
แหล่งข่าวจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า บอกว่า เจ้าหน้าที่กลุ่มเสี่ยง คือ ตำรวจ และ อส.ที่ทำงานและใช้ชีวิตในเขตเมืองหรือเขตชุมชน เพราะผู้ก่อเหตุรุนแรงใช้ยุทธวิธี “ลอบยิงในเมือง” โดยอาศัยการกำบังจากอาคาร บ้านเรือน ซอกตึกต่างๆ และอาศัยมวลชนพวกตนช่วยเหลือออกจากที่ซุ่มเมื่อยิงเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว ที่ผ่านมามีการแจ้งเตือน แต่ต้องยอมรับว่าการข่าวในพื้นที่ล้มเหลว ทำให้ป้องกันแทบไม่ได้เลย
@@ แม่ทัพภาค 4 ย้ำ “ซุ่มยิง” ไม่ถึงขั้น “สไนเปอร์”
แม้จะมีความสูญเสียจากเหตุการณ์ซุ่มยิงหลายครั้ง และยังไม่ปรากฏว่า มาตรการป้องกันที่หน่วยในพื้นที่ดำเนินการสามารถลดเหตุซุ่มยิง และลดการสูญเสียได้จริงหรือไม่
แต่ประเด็นที่ฝ่ายความมั่นคงดูจะซีเรียสมากกว่า คือ ไม่อยากให้ใช้คำว่า “สไนเปอร์” เพราะเกรงว่าจะทำให้สถานการณ์ดูร้ายแรงเกินจริง
พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 โทรศัพท์ให้ข้อมูลโดยตรงกับ “ทีมข่าวอิศรา” ว่า เหตุคนร้ายลอบยิงตำรวจ สภ.กรงปินัง เสียชีวิตหน้าร้านเซเว่นฯนั้น เป็นการยิงจากระยะ 50 เมตร จึงไม่ถึงขั้นเป็น “สไนเปอร์”
@@ สไนเปอร์ VS ซุ่มยิง กับสถานการณ์จริงชายแดนใต้

เมื่อยังมีข้อถกเถียง “ทีมข่าวอิศรา” จึงตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญและการสืบค้นจากแหล่งต่างๆ พบความต่างระหว่าง “สไนเปอร์” กับ “การซุ่มยิง” ดังนี้
สไนเปอร์ หมายถึง พลแม่นปืนที่ได้รับการฝึกเฉพาะทาง มีภารกิจหลัก คือ
- ยิงทำลายเป้าหมายสำคัญ จากระยะไกลมาก (บางครั้ง 500–1,000 เมตรขึ้นไป)
- ลอบเร้น ซุ่มซ่อน และหลบหนี อย่างมีวินัย
- ใช้อาวุธพิเศษ เช่น ปืนไรเฟิลความแม่นยำสูง มักติด “กล้องเล็ง” และอุปกรณ์ช่วยในการยิง
- มีคู่หู หรือหน่วยสนับสนุน เช่น spotter เป็นผู้ช่วยวัดระยะ ลม มุมยิง
ตัวอย่าง พลสไนเปอร์ในหน่วยรบพิเศษ จะฝึกการพรางตัว การคำนวณระยะและลม รวมถึงจิตวิทยาการล่าศัตรูเฉพาะเจาะจง
ส่วน “การซุ่มยิง” หรือ การยิงลอบโจมตีจากที่ซ่อนตัว มีลักษณะดังนี้
- เป็นวิธีโจมตีแบบกองโจรหรือจู่โจม โดยใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศ เพื่อพรางตัว
- ไม่จำเป็นต้องใช้ปืนสไนเปอร์ อาจใช้ปืนเล็กยาวทั่วไป เช่น AK หรือ M16
- ระยะยิงอาจใกล้มาก เช่น 30–100 เมตร เพราะมุ่งเน้นทำลายโดยไม่ให้ศัตรูตอบโต้
- ผู้ยิงอาจไม่ได้รับการฝึกเฉพาะทางด้านการเป็นสไนเปอร์
ตัวอย่าง กลุ่มติดอาวุธในป่าใช้ปืนเอ็ม 16 ซุ่มยิงรถเจ้าหน้าที่ห่างออกไป 50 เมตร แล้วหลบหนี
@@ เพิ่มอำนาจต่อรองกลุ่มป่วนใต้ สะเทือนกระบวนการสันติภาพ
แต่ไม่ว่าจะเป็นสไนเปอร์ หรือ ซุ่มยิงทั่วไป รศ.ดร.ฐิติวุฒิ บุญวงศ์วิวัชร นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อการร้ายในเมือง บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะกลายเป็นเครื่องมือในการต่อรองกับรัฐ เนื่องจากสามารถลดความสูญเสียของฝ่ายตนเอง และหลีกเลี่ยงการปะทะขนาดใหญ่ได้
ที่สำคัญ ฝ่ายที่ก่อการสามารถเลือกการโจมตีเฉพาะเป้าหมายเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่กระทบต่อพลเรือน เป็นการรักษาภาพลักษณ์ของกลุ่มขบวนการ และลดความเสี่ยงทางการเมืองในช่วงเวลาที่การเจรจายังไม่ชัดเจน
“กลยุทธ์เช่นนี้จึงเป็นการส่งสัญญาณกดดันอย่างแยบยลต่อรัฐ” อาจารย์ฐิติวุฒิ ระบุ
และว่า นอกจากนั้น การใช้สไนเปอร์อาจส่งผลลบต่อกระบวนการสันติภาพในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อมีความพยายามสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” เนื่องจากทุกพื้นที่จะไม่ปลอดภัย
ขณะเดียวกัน กลยุทธ์ของสไนเปอร์ หรือ การซุ่มยิง ยังส่งผลต่อการควบคุมพื้นที่ในเมือง การตั้งด่านตรวจ หรือการรักษาความปลอดภัยแบบเดิม ให้กลายเป็นมาตรการที่ไร้ประสิทธิภาพอย่างแทบจะสิ้นเชิงด้วย
@@ ย้อนเหตุ “ซุ่มยิง” ปี 68
“ทีมข่าวอิศรา” รวบรวมเหตุการณ์ที่คนร้ายใช้อาวุธปืนซุ่มยิงจากระยะไกล ซึ่งอาจเป็นสไนเปอร์หรือไม่ก็ได้ โดยกระทำต่อเป้าหมายเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ชายแดนใต้ เฉพาะปี 2568
26 ก.พ.68 คนร้ายใช้อาวุธปืนซุ่มยิง อส.ทพ.สิทธิพร สายนที สังกัดร้อย ทพ.4108 ได้รับบาดเจ็บสาหัส กระสุนเข้าลำคอ เหตุเกิดขณะปฏิบัติหน้าที่ รปภ.เส้นทาง บริเวณมัสยิดบาโงยือแร ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา
11 มี.ค.68 คนร้ายใช้อาวุธปืนซุ่มยิง ร.ท.ภูวิวัฒน์ คำสง ผบ.มว.ปล.ที่ 1 กระสุนถูกใต้ราวนมข้างซ้าย เสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณหน้าฐานปฏิบัติการจาเต๊ะ บ้านสนามบิน ต.เขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา จ.ยะลา
16 มี.ค.68 คนร้ายใช้อาวุธปืนซุ่มยิง ส.ต.ท.ก่อพงศ์ บุญอ่อน ผบ.หมู่ กก.ตชด.42 ได้รับบาดเจ็บ กระสุนเข้าที่หน้าอกซ้ายทะลุซี่โครง 1 นัด เหตุเกิดขณะ ส.ต.ท.ก่อพงศ์ อยู่บริเวณหน้าห้องพักภายในฐานปฎิบัติการหมวดเฉพาะกิจตำรวจตระเวนชายแดนที่ 9333 บ้านรอตันบาตู ต.กะลุวอ อ.เมือง จ.นราธิวาส
30 เม.ย.68 คนร้ายใช้อาวุธปืนซุ่มยิง ส.ต.ท.วัชรินทร์ นพพวง ได้รับบาดเจ็บ กระสุนถูกเข้าที่แขนขวา 1 นัด เหตุเกิดขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจหน้าฐานปฏิบัติการหมวดเฉพาะกิจตำรวจยะลาที่ 9133 บ้านจาหนัน ต.พร่อน อ.เมือง จ.ยะลา
21 พ.ค.68 คนร้ายใช้อาวุธปืนซุ่มยิง อส.วันอัสรี มะทา อส.ชคต.บันนังสตา ได้รับบาดเจ็บ กระสุนถูกชายโครงด้านซ้าย เหตุเกิดขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ รปภ.ครูและนักเรียน หน้าโรงเรียนบ้านเตาปูน อ.บันนังสตา จ.ยะลา
17 มิ.ย.68 คนร้ายใช้อาวุธปืนแบบสไนเปอร์ซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ทหาร ชป.จรยุทธ์ ร้อย ร.ที่ 1 ขณะกำลังออกลาดตระเวนในพื้นที่ บ้านวังหิน ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา กระสุนถูกศีรษะ พลทหารภาคิม สูเด็น เสียชีวิต
5 ก.ค.68 คนร้ายใช้อาวุธปืนซุ่มยิง ส.ต.ท.ธัญเทพ สิกขาจารย์ ตำรวจจราจร สภ.กรงปินัง กระสุนเข้าที่ศีรษะ 1 นัด เสียชีวิต ขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ 7-11 ในพื้นที่ ต.กรงปินัง อ.กรงปินัง จ.ยะลา
