สตรีจะเป็นผู้เลือกประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐ เพื่อกู้อเมริกา กู้ประชาธิปไตย และกู้โลก ได้จริงหรือไม่
เป็นคำถามที่ อาจารย์กฤษฎา บุญเรือง นักวิชาการอิสระจากแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เมืองลุงแซม ตั้งเอาไว้ช่วงไม่กี่วันก่อนหย่อนบัตรเลือกตั้ง ท่ามกลางกระแสและผลโพลที่สำรวจออกมาและพบว่า คะแนนนิยมของทั้ง โดนัลด์ ทรัมป์ และ กมลา แฮร์ริส สูสีอย่างยิ่ง
ข้อมูลเบื้องต้นก่อนวันเลือกตั้งจริง คือ ชาวอเมริกันไปลงคะแนนเสียงล่วงหน้าแล้วประมาณ 60 ล้านคน จากจำนวนที่คาดว่าจะลงคะแนนทั้งหมดประมาณ 155 ล้านคน
ที่น่าสังเกตคือผู้ไปลงคะแนนเสียงล่วงหน้าแยกเป็นอัตราส่วนของสตรี 54% เทียบกับบุรุษ 44%
“เป็นสัญญาอันดีต่อแฮร์ริสและพรรคเดโมแครต” อาจารย์กฤษฎา เชื่อแบบนั้น
ข้อมูลการลงคะแนนเสียงล่วงหน้าว่ามีใครบ้างที่ไปลงคะแนนเสียงแล้ว คูหาใด รัฐใด และจำนวนเท่าไหร่นั้น เป็นข้อมูลที่เปิดเผยได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนการที่ใครจะลงคะแนนเสียงให้ใครนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปิดเผยได้และต้องเก็บเป็นความลับ
ประเมินได้อย่างไรว่าเดโมแครตได้เปรียบ?
ถึงแม้ไม่รู้ว่าสตรีที่ลงคะแนนเสียงล่วงหน้าไปแล้วนั้น ลงคะแนนเสียงให้ใคร แต่สามารถประเมินผลได้จากการสำรวจคะแนนนิยมจากการเลือกตั้งหลายสมัยติดต่อกันมา ซึ่งตามสถิติแล้วสตรีเลือกเดโมแครตมากกว่ารีพับลิกันประมาณ 10%
และการหยั่งเสียงล่าสุดในเดือนตุลาคมนี้ส่งสัญญาณว่า “สตรีจะเลือกแฮร์ริสมากกว่าทรัมป์ประมาณ 12%”
อะไรคือเหตุให้สตรีเลือกแฮร์ริสและเดโมแครต?
1.สตรีอเมริกันส่วนใหญ่เลือกนโยบายเสรีนิยม
การเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมาสตรีชาวอเมริกันส่วนใหญ่สนับสนุนนโยบายเสรีนิยมประมาณ 55% ซึ่งตรงกันข้ามกับบุรุษที่เอนเอียงไปด้านอนุรักษ์นิยม 55%
ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของการเมืองสหรัฐ กฎหมายรัฐธรรมนูญให้สิทธิสตรีชาวอเมริกันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1919 และน่าสังเกตคือช่วง 40 ปีหลังติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน คะแนนเสียงของสตรีชาวอเมริกันส่วนใหญ่ทุกครั้งได้เทให้ประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต
บทบาทในการเลือกตั้งของสตรีชาวอเมริกันนั้น พลิกเปลี่ยนประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา สังเกตได้ว่า ใน 60 ปีแรกของการมีสิทธิในการเลือกตั้ง สตรีไปใช้สิทธิ์น้อยกว่าบุรุษ ซึ่งอาจเนื่องจากเป็นสิ่งใหม่หรือการปรับตัวในการแสดงออกในที่สาธารณะ
แต่หลังจากปี 1980 เป็นต้นมา สตรีไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในอัตราส่วนเทียบเท่ากับบุรุษ
ครั้งนั้นประธานาธิบดีเรแกนชนะคาร์ตอร์ทั่วประเทศเกือบ 10% แต่หากนับคะแนนของสตรีแล้วชนะเพียงแค่ 1% ซึ่งเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับกฎหมายที่ให้สิทธิสตรีในการทำแท้งเมื่อปี 1973
2.Roe v. Wade กฎหมายที่ถูกเปลี่ยนในปี ค.ศ.2022 ทำให้สตรีตื่นตัวออกมาปกป้องสิทธิ
ประเด็นที่เป็นหัวใจของการขับเคลื่อนให้สตรีออกมาใช้เสียงมากเป็นอันดับหนึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ “สิทธิสตรีในการตัดสินใจเรื่องสุขภาพของตนเอง โดยเฉพาะเรื่องการเจริญพันธุ์”
ประเด็นนี้เป็นตัวตัดสินใจเหนือกว่าเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องคนเข้าเมือง และประเด็นหลักอื่นๆ
หลายคนกล่าวว่าหากสตรีไม่ต่อสู้ในเรื่องนี้ ณ เวลานี้ ก็อาจจะทำให้สิทธิเสรีภาพด้านอื่นๆ ถูกคุกคามและลิดรอนย้อนกลับไปในอดีต
การถูกลิดรอนสิทธิของสตรีโดยเฉพาะเรื่องการตัดสินใจต่อสุขภาพของตนเองเรื่องการเจริญพันธุ์ ซึ่งฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้ชัยชนะในระดับศาลฎีกาของสหรัฐ (24 มิถุนายน 2022) ยกเลิกการคุ้มครองสิทธิในการทำแท้งโดยรัฐธรรมนูญที่มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1973 Roe v. Wade, 410 U.S. 113 (1973) https://en.wikipedia.org/wiki/Roe_v._Wade ด้วยคะแนน 5:4 ซึ่งชัยชนะได้มาจากการที่ผู้พิพากษา 3 คนที่เอนเอียงทางอนุรักษ์นิยมได้รับการแต่งตั้งในขณะที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี
เพราะฉะนั้นคาดว่าปี ค.ศ.2024 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สตรีมีโอกาสแสดงพลังโดยการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นโอกาสแห่งการสนับสนุนนโยบายของแฮร์ริสและเดโมแครต (เสรีนิยม) ที่อาจจะท่วมท้นจนกลายเป็นการชนะขาดลอยก็ได้
เดโมแครตยื่นมือข้ามพรรคหาแนวร่วม :
ฝ่ายเดโมแครตได้พยายามใช้เรื่องนี้เป็นประเด็นในการสื่อสารและขอความสนับสนุน ข้ามพรรคการเมืองไปยังสตรีชาวรีพับลิกัน ที่มีความคิดเปิดกว้างรับฟังเหตุผล โดยเฉพาะผู้ที่อยู่อาศัยอยู่ในชานเมือง ซึ่งมักจะมีระดับการศึกษาและฐานะเศรษฐกิจและสังคมปานกลางขึ้นไป
เรื่องสิทธิสตรีเป็นเหตุให้ผู้มีชื่อเสียงหลายคนแทบทุกวงการโดยเฉพาะที่เด่นชัดคือในวงการบันเทิงต่างๆ ออกมาช่วยกันระดมหาเสียงสนับสนุนแฮร์ริส และอาจเป็นเหตุให้เห็นถึงการตื่นตัวอย่างมากในครั้งนี้
สถิติที่น่าสนใจ :
ปัจจุบันสตรีลงคะแนนเสียงมากกว่าบุรุษ
ผู้ไปลงคะแนนเสียงจริงซึ่งเป็นสตรีมากกว่าบุรุษนั้นอยู่ในรัฐ Arizona, Colorado, the District of Columbia, Kansas, Maine, Maryland, Massachusetts, Michigan, Minnesota, New Hampshire, Oregon, Pennsylvania, Vermont, Washington, and Wisconsin อัตราส่วนของสตรีต่อบุรุษในรัฐเหล่านี้โดยประมาณคือ 58-71% และผู้ว่าการรัฐ 6 คนใน 12 รัฐเหล่านี้เป็นสตรี
ที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญคือรัฐเหล่านี้หลายรัฐถือว่าเป็นรัฐสมรภูมิ หรือคะแนนสูสีมาก ซึ่งจะตัดสินว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ
การลงทะเบียนเพื่อขอสิทธิ์ในการเลือกตั้ง :
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004-2022 หลักฐานทะเบียนราษฎรระบุว่าสตรีลงคะแนนเสียง และลงทะเบียนมากกว่าบุรุษถึง 10%
ตามทะเบียนราษฎร 1 กรกฎาคม ค.ศ.2022 ชาวอเมริกันเพศหญิงมีประมาณ 50.5% มากกว่าเพศชายประมาณ 2.75 ล้านคน
ประชากรชาวอเมริกันทั้งหมด 333.25 ล้านคน แบ่งเป็น เพศชาย 165.25 ล้านคน และเพศหญิง 168 ล้านคน
สตรีชาวอเมริกันมีบทบาทในการเมืองเพิ่มขึ้น :
ผู้ว่าการรัฐทั้งหมด 50 รัฐ แบ่งเป็น รีพับลิกัน 27 คน และเดโมแครต 23 คน
เป็นเพศชาย 38 คน เพศหญิง 12 คน (ในจำนวน สตรี 12 คนเป็นเเดโมแครต 8 คนและรีพับลิกัน 4 คน)
สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐ มีทั้งสิ้น 435 ตำแหน่ง แบ่งเป็นบุรุษ 309 คน และสตรี 126 คน
(ผู้แทนเพศหญิงแบ่งเป็น เดโมแครต 92 คน และรีพับลิกัน 34 คน)
ส่วนในวุฒิสภาปัจจุบันซึ่งมีทั้งหมด 100 คน ปัจจุบันแบ่งเป็นบุรุษ 75 คน และสตรี 25 คน
(วุฒิสมาชิกสตรีแบ่งเป็นเดโมแครต 15 คน รีพับลิกัน 9 คน และอิสระ 1 คน)