2 ผู้บาดเจ็บเหตุคาร์บอมบ์ตากใบ ที่แท้เป็นพลทหารนาวิกโยธิน ส่วนรถที่คนร้ายใช้ติดตั้งระเบิด เป็นเก๋ง MG ปล้นชิงจากภรรยาทหารพราน ห่างจุดเกิดเหตุ 5 กิโลเมตร
สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องช่วงปลายปีงบประมาณ 2567 โดยเมื่อเวลา 21.51 น. วันอาทิตย์ที่ 29 ก.ย.67 พ.ต.ต.ชลทิศ เขียวอ่อน พนักงานสอบสวน สภ.ตากใบ ได้รับแจ้งจากเกิดระเบิดแบบคาร์บอมบ์ บริเวณสามแยกใกล้หน้าบ้านพักนายอำเภอตากใบ และตรงข้ามกับกองร้อยอาสารักษาดินแดนที่ 5 ตั้งอยู่ในพื้นที่ หมู่ 3 ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ จ.นราธิวาส
หลังรับแจ้ง ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และได้นำกำลังรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ศุภชัช ณ พัทลุง ผู้กำกับการ สภ.ตากใบ โดยสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.ตากใบ และเจ้าหน้าที่ทหารนาวิกโยธิน สังกัดหมวดปืนเล็กที่ 1 ร้อยปืนเล็กที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินภาคใต้ กองทัพเรือที่ 33 (ฉก.นย.ทร.33)
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าที่เกิดเหตุได้ เนื่องจากยังมีเปลวเพลิงที่ไหม้ลุกลามอยู่ และต้องป้องกันเหตุ Second bomb หรือระเบิดลูกสอง
กระทั่งเพลิงเริ่มมอดลง จึงพบว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ทหารนาวิกโยธิน สังกัดหมวดปืนเล็กที่ 1 ร้อยปืนเล็กที่ 2 ฉก.นย.ทร.33 ซึ่งตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ภายในวัดชลธาราสิงเห หรือวัดพิทักษ์แผ่นดินไทย หมู่ 3 ต.เจ๊ะเห จึงทำการเข้าช่วยเหลือ แล้วนำตัวส่งโรงพยาบาลตากใบ และถูกส่งไปรักษาต่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เมือง จ.นราธิวาส ทราบชื่อคือ
1.พลทหาร กันตยศ บินหรีม อายุ 22 ปี ภูมิลำเนา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ถูกสะเก็ดระเบิดที่ขา ลำตัว และใบหน้า รวมทั้งมีบาดแผลจากไฟลวกตามลำตัว
2.พลทหาร อนุวัฒน์ เหมรา อายุ 22 ปี ภูมิลำเนา อ.ละงู จ.สตูล ถูกสะเก็ดระเบิดที่ขา ลำตัว ใบหน้าและมีบาดแผลจากไฟลวก
จากการสอบสวนในเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุพลทหารทั้ง 2 นาย ซึ่งสวมชุดนอกเครื่องแบบ ได้เดินออกมาจากฐานฯ ภายในวัดชลธาราสิงเห เพื่อไปหาซื้อของกิน และเป็นจังหวะที่เดินอยู่ในละแวกจุดเกิดเหตุพอดี ตรงสามแยกใกล้กับบ้านพักนายอำเภอ และตรงข้ามกับกองร้อยอาสารักษาดินแดนที่ 5 และเกิดระเบิดขึ้น ทำได้โดนสะเก็ดระเบิดได้รับบาดเจ็บ
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่คาดว่า จากอานุภาพของระเบิดที่เกิดขึ้น ระเบิดน่าจะมีน้ำหนักประมาณ 50-80 กิโลกรัม เนื่องจากส่งผลให้บ้านเรือนของประชาชนในละแวกดังกล่าว และกองร้อย อส.อ.ตากใบได้รับความเสียหาย รวมทั้งได้เกิดเพลิงลุกไหม้ตามมา ก่อนที่เปลวเพลิงจะลุกลามไปที่บ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านสองชั้น จนวอดทั้งหลัง
เจ้าหน้าที่ อส.นายหนึ่ง เล่าว่า ขณะเกิดเหตุ ว่าที่ร้อยตรี จิรัสย์ ศิริวัลลภ นายอำเภอตากใบ ไม่ได้อยู่ในบ้านพัก โดยออกไปทำธุระในตัวเมืองนราธิวาสตั้งแต่ช่วงเย็น
ส่วนรถยนต์ที่คนร้ายใช้ประกอบระเบิดเป็นคาร์บอมบ์ ทางเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวความมั่นคงในพื้นที่ เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุได้มีกลุ่มคนร้าย ซึ่งเป็นชายฉกรรจ์ จำนวน 5 คน สวมหมวกไอ้โม่ง ใช้อาวุธปืนบุกจี้เอารถยนต์เก๋งยี่ห้อ MG สีบรอนซ์เงิน ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นป้ายแดง ทะเบียน 3599 และเพิ่งจะได้ป้ายขาว โดยรถได้จอดอยู่หน้าบ้านของภรรยาของเจ้าหน้าที่ทหารพรานสังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 4803 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 48 (ร้อย ทพ.4803 ฉก.ทพ.48) อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุระเบิด ประมาณ 5 กิโลเมตร แล้วคนร้ายขับหลบหนีไป
มีข้อมูลอีกกระแสหนึ่งว่า กลุ่มคนร้ายแต่งกายเลียนแบบเจ้าหน้าที่ มีหมวกไอ้โม่งปิดบังใบหน้า พร้อมอาวุธปืนครบมือ โดยปล้นชิงรถจาก นางสาว มาเรียม (สงวนนามสกุล) ภรรยาทหารพราน เป็นรถเก๋งยี่ห้อ MG ป้ายทะเบียนกรุงเทพมหานนคร
ต่อมาประมาณ 1 ชั่วโมงต่อมา คนร้ายได้นำรถยนต์คันดังกล่าวที่ประกอบระเบิดแสวงเครื่องเป็นคาร์บอมบ์แล้ว ขับไปจอดหน้าบ้านพักนายอำเภอ จากนั้นคนร้ายได้วิ่งไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ติดเครื่องจอดรอยู่ แล้วขับขี่หลบหนีไป ก่อนเกิดระเบิดขึ้นและมีเพลิงไหม้ตามมาดังกล่าว
เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวความมั่นคง ให้ข้อมูลเพิ่มอีกว่า ก่อนเกิดเหตุครั้งนี้ เจ้าหน้าที่พบการเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ตากใบ และพื้นที่ชายแดนประเทศเพื่อนบ้านฝั่งที่ติดกับอำเภอตากใบ มีการประชุมวางแผนหลายครั้งหลายจุด เพื่อเตรียมก่อเหตุโจมตีครั้งใหญ่ ในช่วงก่อนครบรอบ 20 ปีเหตุการณ์ตากใบ 25 ต.ค.2547
ข้อมูลการข่าวระบุว่า ลักษณะการก่อเหตุที่กลุ่มคนร้ายเตรียมไว้ ทราบว่าจะเกิดครั้งใหญ่กว่าหลายปีที่ผ่านมา โดยมีการแบ่งกลุ่มคนร้ายจากฝั่งไทยและมาจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน มีการระดมสมาชิกมาร่วมจากหลายพื้นที่เพื่อก่อเหตุ ทำให้เจ้าหน้าที่มีการเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ทุกรูปแบบมาตลอดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น
ล่าสุดเมื่อเกิดเหตุคาร์บอมบ์ ผู้บังคับบัญชาได้สั่งยกระดับทุกพื้นที่เฝ้าระวังรับมืออย่างเต็มที่เป็นพิเศษ รวมทั้งให้หน่วยทำลายใต้น้ำจู่โจม (หน่วย SEAL) ที่ประจำอยู่แนวชายแดนไทย-มาเลย์ เตรียมพร้อมและเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นด้วยเช่นกัน