"มันเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่คิดว่าจะเป็นคนในครอบครัวเรา ตอนนี้ขอทำใจให้ได้ก่อน บอกกับลูกๆ ให้ทำใจ ปลอบลูกว่าไม่เป็นไร พ่อยังอยู่ ถึงแม้แม่จะไม่อยู่แล้ว แต่พ่อยังอยู่"
คือคำพูดผ่านน้ำเสียงสั่นเครือของ มูฮามัดอับกา สะมะแล สามีของ รอกีเย๊าะ สาระนะ ครูโรงเรียนตาดีกาประจำมัสยิดกำปงลาแล ต.บาเจาะ อ.บานังสตา จ.ยะลา ในวันที่ต้องสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไป จากเหตุการณ์คาร์บอมบ์หน้าแฟลตตำรวจ สภ.บันนังสตา
มูฮามัดอับกา เล่าเรื่องราวของตนเองกับภรรยาให้ฟังว่า แต่งงานอยู่กินกันมา 16 ปี มีลูกด้วยกัน 3 คน ลูกชายคนโตเรียนอยู่ ม.4 ลูกสาวคนกลางเรียนอยู่ ม.1 และลูกสาวคนเล็กยังเรียนอยู่ชั้นประถม
“ผมทำงานก่อสร้าง ส่วนครูรอกีเย๊าะ ในวันเสาร์-อาทิตย์จะไปสอนเด็กๆ ที่ตาดีกา มีลูกศิษย์มากมาย ลูกศิษย์บางคนอายุ 30 กว่าแล้วก็มี ครูรอกีเยาะห์เป็นคนชอบช่วยเหลือคนอื่นและมีน้ำใจกับทุกคน”
มูฮามัดอับกา เล่าอีกว่า ในวันเกิดเหตุ วันนั้นที่ตาดีกามีกิจกรรม มีเด็กมานอนพักค้างคืน และเป็นวันสุดท้ายของกิจกรรม ครูรอกีเย๊าะได้อาสาออกไปซื้อของมาทำกับข้าวเลี้ยงเด็กๆ โดยก่อนจะออกไป ได้โทรมาบอกให้ตนช่วยขูดมะพร้าวเพื่อเตรียมทำของหวานเลี้ยงเด็กๆ จากนั้นก็ขับรถจักรยานยนต์ออกไป ซึ่งนั่นก็คือบทสนทนาครั้งสุดท้ายระหว่างตนกับภรรยา
“จากนั้นประมาณ 10 โมงกว่าๆ ผมได้ยินเสียงระเบิด ตอนนั้นทำงานอยู่ที่มัสยิด เห็นควันลอยพุ่งขึ้่นาบนท้องฟ้า ตอนแรกไม่นึก ไม่คิดว่าจะเป็นภรรยาของตัวเอง มารู้ว่าใช่ เพราะเพื่อนข้างบ้านมาบอกว่ารถมอเตอร์ไซค์ที่ผมซื้อต่อเพื่อนไปนั้นโดนระเบิด เพื่อนถามว่า ใครขับไป ผมอึ้ง พูดไม่ออก”
“ตอนนั้นรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีใครอื่นนอกจากภรรยาของเราเอง ผมจึงโทรศัพท์ไปหา โทรเท่าไรก็โทรไม่ติด คิดว่าต้องเกิดเรื่องแล้วแน่ๆ จึงรีบไปโรงพยาบาล ระหว่างทางในใจก็ยังนึกแต่เพียงว่า น่าจะโดนแค่สะเก็ดระเบิดเท่านั้น เมื่อไปถึงโรงพยาบาลก็รีบไปดูที่ห้องฉุกเฉินก็ไม่เจอ หาไปทั่วโรงพยาบาลก็ไม่พบภรรยา”
“พอไปถามเจ้าหน้าที่ เขาเลยเอารูปรถคันที่โดนระเบิดมาให้ดู พอเห็นเท่านั้นจึงรู้ว่าใช่แล้ว คนในภาพคือภรรยาเราเอง เจ้าหน้าที่บอกว่าที่ร่างคนตายมีแหวนอยู่หนึ่งวง จำได้ไหมว่าแหวนเป็นแบบไหน เราจำได้แม่น เลยบอกว่าแหวนเป็นแบบไหน มันยิ่งยืนยันว่าใช่แน่ แล้วเป็นภรรยาของเราจริงๆ”
ชายหนุ่มผู้สูญเสียภรรยาจากเหตุระเบิดอย่างไม่คาดฝัน บอกถึงความรู้สึกของตัวเองว่า ทำใจไม่ได้ มันเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่คิดว่าจะเป็นคนในครอบครัวเรา ตอนนั้นทำได้เพียงโทรกลับไปบอกลูก บอกกับลูกให้ทำใจว่าแม่ไม่อยู่แล้วนะ
“สงสารก็แต่ลูกทั้ง 3 คน จนถึงตอนนี้ก็ยังร้องไห้ไม่หยุด ผมได้แต่ปลอบลูกว่าไม่เป็นไร พ่อยังอยู่ ถึงแม้ว่าแม่จะไม่อยู่แล้ว แต่พ่อยังอยู่”
“อยากจะฝากถึงผู้ที่ก่อเหตุ หากจะคิดทำอะไร ขอให้คิดให้รอบคอบ คิดถึงผลเสียผลร้ายที่จะตามมา มันมีแต่ความสูญเสียที่ไม่อาจประเมินค่าได้ การกระทำต่อมนุษย์ด้วยกัน มันคือบาปมหันต์ที่มิอาจลบล้างได้" มูฮามัดอับกา กล่าวด้วยแววตาหมองเศร้า
รอยยิ้มสดใสในภาพถ่ายวันฮารีรายอปีที่ผ่านมาของครอบครัวครูรอกีเย๊าะ จากนี้ไปคงเหลือแค่ความทรงจำ เพราะรอยยิ้มกลับถูกแทนที่ด้วยน้ำตา...
เป็นน้ำตาแห่งความสูญเสียที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย!
และครอบครัวของครูรอกีเย๊าะก็ไม่ใช่รายแรก แต่ความสูญเสียเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับประชาชนผู้บริสุทธิ์
นี่คือสงครามแบบใด...