ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศ เขียนบทความเกี่ยวกับ “รัฐมนตรีต่างประเทศ” ในจังหวะที่ตำแหน่งนี้กำลังได้รับความสนใจ และมีเงื่อนแง่ให้ถกเถียงกัน
จุดเริ่มต้นมาจากการลาออกทันทีที่ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นรัฐมนตรี ของ คุณปานปรีย์ พหิทธานุกร
เหตุผลหนึ่งที่หยิบมาอธิบายคือ การถูกปรับลดตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีที่ควบอยู่เดิม เหลือรัฐมนตรีต่างประเทศตำแหน่งเดียว กระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ เพราะทำให้ระดับความน่าเชื่อถือ และเครดิตความเชื่อมั่นลดลง
ทั้งๆ ที่ตนไม่ได้ทำอะไรผิด แถมมีผลงานมากมายในระยะเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา
เหตุผลนี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันว่า รัฐมนตรีต่างประเทศ จำเป็นต้องควบเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีด้วยหรือไม่ และรัฐมนตรีต่างประเทศที่ดี หรือ “รัฐมนตรีในอุดมคติ” นั้น ควรมีคุณสมบัติอย่างไร
โดยเฉพาะในบริบทสถานการณ์โลกปัจจุบัน...
@@ รมต.ต่างประเทศในอุดมคติ
การปรับคณะรัฐมนตรีรอบนี้ ทำให้สังคมดูจะสนใจกับตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ” อย่างมาก
อาจเป็นเพราะการลาออกอย่างกระทันหันของรัฐมนตรีท่านเดิม จนทำให้ตำแหน่งนี้ตกอยู่ในความสนใจของผู้คนในสังคม
ถ้าเราลองขยับออกจากคำถามทางการเมืองแล้ว คำถามอีกด้านที่สังคมดูจะสนใจกับตำแหน่งนี้ก็คือ ถ้าเราลองกำหนด “คุณสมบัติแบบอุดมคติ” แล้ว รัฐมนตรีต่างประเทศควรจะเป็นแบบใด
ฉะนั้น บทความนี้จะทดลองนำเสนอแบบ “รัฐมนตรีในอุดมคติ” กับงานด้านต่างประเทศของไทยว่า ควรจะเป็นเช่นไร
การนำเสนอนี้มาจากประสบการณ์ในการสอนนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของผู้เขียน และอีกส่วนหนึ่งมาจากข้อมูลของนิสิตปริญญาโทและปริญญาเอกที่ทำวิทยานิพนธ์เรื่องบทบาทของรัฐมนตรีต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ดังได้กล่าวแล้วว่า ข้อเสนอนี้เป็นแบบอุดมคติในเชิงวิชาการ เพราะตระหนักว่างานด้านการต่างประเทศในปัจจุบันมีความยุ่งยากและซับซ้อนภายใต้เงื่อนไขของสถานการณ์ทั้งในระดับโลก และในระดับภูมิภาค การจะดำเนินนโยบายต่างประเทศไปในแบบ “เรื่อยๆ มาเรียงๆ” นั้น อาจจะไม่ตอบสนองต่อผลประโยชน์ของไทยในเวทีสากล
กล่าวคือ นโยบายต้องการการ “ขับเคลื่อน” เพื่อให้สถานะของประเทศไทยเป็นที่ปรากฏในโลก เพราะรัฐไทยไม่อาจดำรงตนเสมือนหนึ่งเป็น “มนุษย์ล่องหน” ด้วยความเชื่อเช่นรัฐบาลของผู้นำทหารก่อนการเลือกตั้ง 2566 ว่า การไม่ปรากฏตัวบน “จอเรดาร์โลก” เป็นผลประโยชน์ของไทย
นอกจากนี้ การมาของสถานการณ์ใหม่ๆ และปัญหาใหม่ๆ ในเวทีระหว่างประเทศ ยิ่งเป็นเสมือนเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลไทย โดยรัฐมนตรีต่างประเทศยิ่งต้องปรับตัว เพื่อเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเวทีโลกมากขึ้น
ดังนั้น ถ้าเราพิจารณาภาพในเชิงมหภาคแล้ว รัฐมนตรีต่างประเทศในอุดมคติน่าจะมีคุณสมบัติ ดังนี้
1.ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และความเข้าใจในเรื่องของการเมืองระหว่างประเทศ เพราะความรู้และความเข้าใจดังกล่าวจะเป็นพื้นฐานเบื้องต้นของผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศ
2.ในกระบวนการกำหนดนโยบาย รัฐมนตรีต้องเป็นผู้ผลักดันให้นโยบายสามารถถูกนำไปปฏิบัติได้จริงตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ อันเป็นเรื่องของ “policy implementation” เพราะนโยบายทำแล้ว แต่ผลักดันไม่ได้ ย่อมไม่เกิดผลตอบแทนในเชิงนโยบาย
3.ต้องเป็นผู้ที่สามารถผลักดันนโยบายที่ทำให้เกิดการรักษา “ผลประโยชน์สำคัญ” ของรัฐไทยในเวทีสากล
4.ต้องเป็นผู้ที่ดำเนินนโยบายที่ช่วยลดทอนปัญหา ผลกระทบ และภัยคุกคามในทางการเมืองระหว่างประเทศต่อรัฐไทยให้ได้ (อย่างน้อยต้องให้ได้มากที่สุด)
5.ต้องสามารถควบคุมและ/หรือบริหารระบบราชการในกระทรวงฯ ให้ได้ เพราะ “จักรกลระบบราชการ” ยังคงเป็นส่วนสำคัญของการขับเคลื่อนงานนโยบาย
6.ต้องสามารถประสานกับนายกรัฐมนตรี และ/หรือ ทำงานในลักษณะที่เป็นทีมเดียวกับนายกรัฐมนตรี ประเด็นคือนี้คุณสมบัติสากลของคนเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ
7.นายกรัฐมนตรีจะต้องรับฟังและให้ความไว้วางใจรัฐมนตรีต่างประเทศ เพราะตัวรัฐมนตรีจะต้องแสดงบทบาทเป็นดัง “ผู้นำทีมไทย” ในเวทีภายนอก โดยมีนายกรัฐมนตรีมีสถานะเป็น “หัวหน้าทีมไทยแลนด์”
8.จะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจระบบราชการ ปัญหา อุปสรรค และข้อขัดข้องที่จะต้องแก้ไขในการขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศในแต่ละเรื่อง เพราะนโยบายนี้เป็นเรื่องภายนอกรัฐ แต่อุปสรรคและข้อขัดข้องของระบบราชการอยู่ภายในรัฐ
9.จะต้องสามารถสร้างความมั่นใจให้กับรัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรีได้ว่า เขาจะสามารถผลักดันนโยบายต่างประเทศในการรักษาผลประโยชน์ของรัฐในเวทีโลก
10.การมี “ทีมความคิด” (Think Tanks) มีความสำคัญในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ เช่น บทบาทของบ้านพิษณุโลกในสมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ หรือประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร
11.ต้อง “กล้าคิด-กล้าทำ” เพราะสถานการณ์ระหว่างประเทศอาจเดินไปเร็ว และมีพลวัตสูง รัฐมนตรีต่างประเทศจึงควร “กล้าตัดสินใจ” เพราะหลักการไม่ต่างกับการลงทุนในตลาดหุ้นคือ “นโยบายมีความเสี่ยง”
และในบริบทของงานการต่างประเทศ การไม่ตัดสินใจคือ การตัดสินใจอีกแบบหนึ่ง หรือไม่มีสิ่งที่เรียกว่า การไม่ตัดสินใจในนโยบายต่างประเทศ
12.จะต้องสร้างความเชื่อมั่น และความศรัทธาให้กับคนในหน่วยงานว่า เขาจะสามารถนำองค์กรฝ่าฟันอุปสรรคไปข้างหน้าได้ในฐานะของการเป็น “รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง” และไม่ได้มีนัยว่า จะต้องเป็นที่รักของคนในกระทรวงแบบ 100% เพราะเป็นไปไม่ได้
ดังนั้น รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่คงต้องเข้ามาแบกรับบทบาทของกระทรวงฯ ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมานับจากการรัฐประหารที่กรุงเทพฯ กระทรวงฯ มีสภาพเป็น “บัวแล้งน้ำ” … “ดอกบัวแก้ว” ไม่สวยสดเท่าที่ควร
ฉะนั้น จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐมนตรีท่านใหม่จะช่วยรดน้ำ ให้ดอกบัวแก้วกลับมาสวยงามในเวทีโลกอีกครั้ง หลังจากแห้งเหี่ยวไปนานกับสภาพ “น้ำแล้ง” ในการเมืองไทย!