คดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยกฟ้องอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ กรณีโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี จากตำแหน่งเลขาธิการ สมช.
แม้ศาลจะอธิบายในคำพิพากษาว่าเป็นคนละบริบท คนละคำร้องกับคดีที่ศาลปกครองสูงสุด และศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำตัดสินหรือวินิจฉัย แต่คดีนี้ก็ยังเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางอยู่ดี
โดยเฉพาะในแง่ของหลักการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ อำนาจและความรับผิดของฝ่ายการเมืองในการแต่งตั้งโยกย้าย ตลอดจนแง่มุมของการใช้อำนาจตุลาการในบริบทการเมืองไทย ที่เรียกกันว่า “ตุลาการธิปไตย” และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นมาตรฐานเดียวกัน
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนบทความแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้เอาไว้ มีมุมมองที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
@@ คดียิ่งลักษณ์! มุมมองทางรัฐศาสตร์”
รายงานข่าวที่ปรากฏในสื่อเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม น่าสนใจอย่างมากเมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาในคดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โอนย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในความผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ
ความผิดในคำฟ้องนี้เกิดเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 เมื่อนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ลงนามในคำสั่งให้เลขา สมช. ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดทางให้ย้ายผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเป็นเลขา สมช. แทน
ในที่สุด การต่อสู้ในคดีนี้ใช้เวลาเดินทางในศาลถึง 12 ปี จึงยุติลงด้วยการที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง และเพิกถอนหมายจับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยเห็นว่า ไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหาของอัยการสูงสุด
หากย้อนกลับไปขณะนั้น จะพบว่านายถวิล ผู้ถูกย้ายได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุด และศาลดังกล่าวมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายในกรณีนี้ เพราะถือว่าเป็น “การใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ” และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการก้าวก่ายและแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ให้ น.ส. ยิ่งลักษณ์พ้นจากความเป็นนายกรัฐมนตรี
หากตีความตามคำตัดสินเช่นนี้ในทางกฎหมาย เราอาจกล่าวได้ว่า นายกรัฐมนตรีในทางนิติศาสตร์ไม่มีอำนาจย้ายเลขา สมช. ได้ แต่คำตัดสินเช่นนี้ทำให้เกิดคำถามในทางรัฐศาสตร์ตามมาอย่างมากว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดของฝ่ายบริหาร มีอำนาจในการออกคำสั่งโยกย้ายข้าราชการหรือไม่ เพราะอำนาจเช่นนี้น่าจะเป็น “เอกสิทธิ์ของฝ่ายบริหาร” ที่สามารถกระทำการได้โดยไม่เป็นความผิดทางกฎหมาย
ถ้าการโยกย้ายข้าราชการของนายกรัฐมนตรีเป็นการกระทำความผิดในทางกฎหมายแล้ว ย่อมทำให้เกิดคำถามตามมาอย่างแน่นอนในอีกด้านหนึ่งว่า กระบวนการบริหารราชการแผ่นดินจะดำเนินไปอย่างไร เพราะหัวหน้าของฝ่ายบริหารไม่สามารถโยกย้ายข้าราชการได้
แต่ว่าที่จริงแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่าคดีนี้เป็น “คดีการเมือง” ในตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นการก่อกระแสเพื่อลดทอนความชอบธรรมของรัฐบาล ซึ่งจะปูทางไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลที่เป็นเป้าหมายของชนชั้นนำ ผู้นำทหาร และปีกอนุรักษ์นิยมขวาจัด หรืออาจกล่าวได้ว่า ปัญหาเรื่องนี้คือบันไดขั้นหนึ่งที่ปูทางไปสู่การรัฐประหารในเวลาต่อมานั่นเอง เพราะถ้าเราสาวความต่อในเชิงข้อมูลแล้ว ย่อมเห็นถึงผลกระทบทางการเมืองที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลอย่างชัดเจน และยังรวมถึงผลตอบแทนกับบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรงอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในบริบททางการเมืองแล้ว คดีนี้คือจุด “พลิกผัน” ทางการเมือง ที่ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องสิ้นสภาพไป เพียงเพราะการโยกย้ายข้าราชการในระดับสูง อันบ่งชี้ถึงความเป็น “คดีการเมือง” ในตัวเอง ฉะนั้น เราอาจกล่าวได้ว่า คดีนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาผลกระทบในการเมืองไทย ดังนี้
1.ในการสร้างอำนาจทางการเมืองของปีกอนุรักษ์นิยมขวาจัดนั้น กลไกของสถาบันตุลาการเป็นประเด็นสำคัญ การใช้อำนาจเช่นนี้ ชี้ให้เห็นถึง อำนาจในแบบ “ตุลาการธิปไตย” (Juristocracy) ที่อำนาจของฝ่ายตุลาการจะเป็นผู้ชี้ขาดทางการเมือง และทั้งยังชี้ให้เห็นอีกว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม อำนาจของฝ่ายตุลาการอยู่เหนืออำนาจของฝ่ายบริหาร อันส่งผลต่อ “ทฤษฎีถ่วงดุลย์” ในความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายตุลาการในกระบวนการของระบบรัฐสภา
2.สภาวะเช่นนี้อาจทำให้เกิดข้อสังเกตถึงการมีบทบาททางการเมืองและ/หรือการขยายบทบาททางการเมืองของสถาบันตุลาการหรือไม่ เพราะคำตัดสินดังกล่าวย่อมมีผลต่อการล้มรัฐบาลได้โดยตรง (อาจไม่แตกต่างจาก “คดีทำกับข้าว” ของอดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช) และเป็นการล้มรัฐบาลโดยอาศัยกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งสามารถสร้างภาพลักษณ์ในทางการเมืองได้ว่า รัฐบาลกระทำผิดกฎหมายตามคำตัดสินที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจนอกระบบล้มรัฐบาล
3.การใช้อำนาจของกระบวนการ “ตุลาการธิปไตย” นั้น ส่งผลอย่างมากในอีกด้านหนึ่งต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของไทย เพราะเท่ากับเป็นสัญญาณว่า การเปลี่ยนผ่านเช่นนี้จะถูกควบคุมโดยสถาบันตุลาการ ซึ่งจะยิ่งตอกย้ำถึงบทบาททางการเมืองของสถาบันนี้โดยตรง หรืออาจทำให้ผู้คนสังคมของอีกฝ่ายหนึ่งขาดความเชื่อถือในสถาบันตุลาการ
หรือดังที่มีการเรียกสภาวะเช่นนี้ว่า “กฎหมายเลือกข้าง” หรือคำเรียกในอดีตคือ “สองมาตรฐาน” ในทางกฎหมาย เป็นต้น ซึ่งสภาวะเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดความแตกแยกมากขึ้น และคนขาดความเชื่อถือต่อคำตัดสินในทางกฎหมาย
4.คำตัดสินว่าการใช้อำนาจโยกย้ายข้าราชการของนายกรัฐมนตรีเป็นความผิดทางกฎหมายนั้น สะท้อนชัดเจนถึงอำนาจของ “รัฐราชการ” ที่เชื่อว่า อำนาจของฝ่ายข้าราชการมีความชอบธรรมมากกว่าอำนาจของฝ่ายการเมือง และการโยกย้ายข้าราชการต้องเป็นไปตามความเห็นของฝ่ายข้าราชการ หรืออีกนัยหนึ่งคือ เลขา สมช. ต้องเป็นข้าราชการใน สมช. เท่านั้น ซึ่งสำหรับหน่วยงานความมั่นคงในระดับนโยบายทั่วโลก ไม่มีรัฐบาลของประเทศใดยึดความเป็นรัฐราชการในแบบรัฐไทย ที่ต้องใช้คนจากข้าราชการในหน่วยเดิมกับการเป็นผู้บริหารงานความมั่นคงในระดับนโยบาย โดยรัฐบาลไม่มีอำนาจในการเลือกตัวบุคคล
5.ในยุคหลังรัฐประหาร 2557 นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจโยกย้ายข้าราชการจำนวนมากออกจากตำแหน่งเดิม ซึ่งน่าสนใจว่า บรรทัดฐานที่เคยใช้ในกรณีนายกฯ ยิ่งลักษณ์ กลับไม่ถูกนำมาใช้ และไม่มีเสียงวิจารณ์จากผู้เห็นต่างในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์แต่อย่างใด แม้กระทั่งผู้ที่ถูกโยกย้ายในกรณีนี้ ก็ไม่เคยกล่าวถึงบรรทัดฐานที่ตนเป็นผู้ฟ้องในคดีดังกล่าว จนนายกรัฐมนตรีต้องหลุดจากตำแหน่งแต่อย่างใด
ทั้งหมดนี้สรุปได้ประการเดียวว่า กระบวนการ “ตุลาการธิปไตย” มีพลังในการเปลี่ยนรัฐบาลที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมขวาสุดไม่พึงประสงค์ให้อยู่ในอำนาจได้เสมอ ว่าที่จริง การใช้อำนาจเช่นนี้ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทำได้ง่ายกว่าการรัฐประหารหลายเท่า 555!
-----------------
ภาพเทพสตรีแห่งความยุติธรรม - เฟซบุ๊ก Snakes on the Altar