ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้นายทหารรับราชการ จำนวน 762 นาย ณ วันที่ 30 ส.ค.66 ให้มีผลวันที่ 1 ต.ค.66
ประกาศดังกล่าวออกมาภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ในส่วนของกองทัพภาคที่ 4 ซึ่งรับผิดชอบภารกิจดับไฟใต้ ทั้งในหมวกของ กอ.รมน. และกองทัพเอง มีตำแหน่งสำคัญๆ ที่มีการปรับเปลี่ยนดังนี้
พล.ท.อุทิศ อนันตนานนท์ แม่ทัพน้อยที่ 4 ขยับขึ้นเป็น ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก (อัตราพลเอก)
พล.ต.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 ขยับขึ้นเป็น แม่ทัพน้อยที่ 4 ติดยศพลโท
พล.ต.เสนีย์ ศรีหิรัญ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 44 ขยับขึ้นเป็น ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก (อัตราพลโท)
พล.ต.วรเดช เดชรักษา ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 5 ขยับขึ้นเป็น รองแม่ทัพภาคที่ 4
พล.ต.สุรเทพ หนูแก้ว รองผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติภารกิจรักษาความมั่นคงภายในภาคที่ 4 สำนักงานปฏิบัติภารกิจรักษาความมั่นคงภายในกองทัพบก เป็น ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 44
ส่วนนายทหารยศพันเอกที่ได้ขยับขึ้นมาติดยศพลตรี ประกอบด้วย พ.อ.นิติ ติณสูลานนท์ รองเลขาธิการ กองอำนายการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขึ้นเป็น เสนาธิการกองทัพน้อยที่ 4
พ.อ.อภินันท์ แจ่มแจ้ง รองเลขาธิการ กองอำนายการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เป็น ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 5
พ.อ.พิชิต โชติแก้ว รองผู้อำนายการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสงขลา เป็น ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 43
@@ เส้นทาง “เหลนป๋าเปรม” ก่อนขึ้น เสธ.ทัพน้อย 4
สำหรับ พ.อ.นิติ ที่ได้ขยับขึ้นเป็นเสนาธิการกองทัพน้อยที่ 4 เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 26 (ตท.26) โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) รุ่น 37 รับราชการในพื้นที่ภาคใต้มาโดยตลอด เคยเป็นผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 44 รับผิดชอบ อ.ปะนาเระ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ในช่วงปี 2555 ซึ่งสถานการณ์ช่วงนั้นอ่อนไหวล่อแหลมอย่างยิ่ง
พ.อ.นิติ มีนามสกุลเดียวกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เนื่องจากมีศักดิ์เป็นเหลนของ พล.อ.เปรม โดยปู่ของเขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของ พล.อ.เปรม
อย่างไรก็ดี พ.อ.นิติ เคยให้สัมภาษณ์กับ “ทีมข่าวอิศรา” เมื่อปลายปีก่อนว่า การมีนามสกุลเดียวกับผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ไม่ได้ทำให้เขามีสิทธิพิเศษใดๆ หนำซ้ำยังต้องแบกรับความกดดันอย่างสูงอีกด้วย
@@ เปิด 3 แคนดิเดตลุ้นแม่ทัพภาค 4 ปีหน้า
มีกระแสวิเคราะห์วิจารณ์ “มองข้ามช็อต” ไปถึงแม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ในปีหน้าว่าจะเป็นใคร หลังจาก พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพคนปัจจุบัน น่าจะต้องลุกจากเก้าอี้ตามวาระ เพื่อขยับสู่ตำแหน่งสูงขึ้นในกองทัพบก เนื่องจากดำรงตำแหน่งครบ 2 ปี
หลายคนจับตาไปที่ พล.ต.ปราโมทย์ ซึ่งผงาดขึ้นเป็นแม่ทัพน้อยที่ 4 ว่าน่าจะมีลุ้นขึ้นเป็นแม่ทัพ เพราะติดยศพลโทก่อนเพื่อนในระนาบเดียวกัน และบางกระแสมองว่า ในบางกองทัพภาค แม่ทัพน้อยมีลุ้นขึ้นเป็นแม่ทัพมากกว่า
แต่สำหรับกองทัพภาคที่ 4 หากย้อนดูเส้นทางของ “แม่ทัพเกรียง” พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ ผู้ช่วย ผบ.ทบ.ในปัจจุบัน ซึ่งเคยเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 และ พล.ท.ศานติ แม่ทัพปัจจุบัน จะพบว่าทั้งคู่ขยับขึ้นแม่ทัพ จากตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 4 เหมือนกัน โดยไม่ผ่านแม่ทัพน้อย และแม่ทัพน้อยที่ 4 ก่อนหน้านี้ 2-3 คนก็ไม่มีใครได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 4
เป็นที่น่าสังเกตว่า แม่ทัพศานติ พล.ต.ปราโมทย์ และ พล.ต.ไพศาล หนูสังข์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 25 (ตท.25) ด้วยกันทั้งหมด และจะเกษียณปี 68 พร้อมกัน ฉะนั้นถ้าปีหน้า แม่ทัพศานติ ขยับลุกจากแม่ทัพ อาจจะเข้าไลน์ 5 เสือ ทบ. ก็มีโอกาสที่ พล.ต.ปราโมทย์ หรือ พล.ต.ไพศาล จะขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 แต่ก็ต้องยอมเกษียณที่ยศพลโท
ที่น่าจับตาอีกคน คือ พล.ต.วรเดช เดชรักษา ที่เพิ่งขยับมาเป็นรองแม่ทัพภาค 4 รอบนี้ ก็มีโอกาสขึ้นแม่ทัพภาค 4 ด้วยเช่นกัน เพราะเส้นทางเหมือนกับแม่ทัพศานติ ที่ขยับจากผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 5 (ผบ.พล.ร.5) ขึ้นมาเป็นรองแม่ทัพแค่ปีเดียว แล้วก็ขึ้นเป็นแม่ทัพในปีถัดมาเลย
หนึ่งปีนับจากนี้ต้องลุ้นกันแบบตาห้ามกระพริบ!