เหตุระเบิดโกดังพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟที่ชุมชนตลาดมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ผ่านมาครบ 1 สัปดาห์แล้ว
7 วันหลังเกิดเหตุมีความคืบหน้าทางคดีที่ชัดเจนอย่างเดียวคือ สองสามีภรรยาเจ้าของโกดังเข้ามอบตัวกับตำรวจ และถูกส่งตัวมาจากฝั่งมาเลเซีย ไปที่ สภ.สะเดา จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นด่านพรมแดนไทย-มาเลเซีย ด้านที่ติดกับอำเภอหาดใหญ่ ภูมิลำเนาและฐานธุรกิจของฝ่ายชายเจ้าของตลาด ส่วนฝ่ายหญิงเป็นลูกหลานคนมูโนะ เป็นชาวไทยเชื้อสายจีน
-สองสามีภรรยาเจ้าของโกดัง หายตัวไปถึง 1 สัปดาห์หลังเกิดเหตุ ตำรวจอ้างไปต่างจังหวัด แต่จริงๆ อยู่ต่างประเทศ
-มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ามีนักการเมืองดังพยายามช่วยเหลือ แต่ไม่มีหน่วยงานไหนแสดงความจริงจังในการตรวจสอบ แม้จะกล่าวถึงตรงๆ ก็แทบไม่มี
-มีเสียงวิจารณ์จากชาวบ้านถึง “ข้อกล่าวหา” ที่ตำรวจตั้งกับสองสามีภรรยาว่าครบถ้วนตามที่ควรจะเป็นหรือไม่ และเป็นข้อหาเบาเกินไปหรือเปล่า รวมทั้งโอกาสในการสู้คดี หากทำสำนวนไม่รัดกุม มีสิทธิหลุดได้ไม่น้อยเลย
เช่น ข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ทรัพย์สินเสียหาย มีการตั้งข้อสังเกตว่า ความผิดฐานประมาท เป็นโทษทางอาญา ต้องพิสูจน์ได้ว่าการตาย ความสูญเสีย หรือทรัพย์สินเสียหาย มาจากความประมาทโดยตรงของผู้ต้องหาหรือจำเลย
แต่ขณะเกิดเหตุ ผู้ต้องหาหรือจำเลยอยู่ต่างประเทศ จะถือว่าเกี่ยวข้องโดยตรงหรือไม่ หรือว่าคนผิดคือ ช่างเชื่อม ช่างซ่อมปรับปรุงโกดัง ซึ่งเสียชีวิตไปหมดแล้ว
นอกจากนั้นยังมีการพูดกันถึงข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มีคำสั่งห้ามเคลื่อนย้าย ครอบครอง พลุ ประทัด และดอกไม้ไฟ เกินจำนวนที่กำหนด คือ คนละ 10 ดอก ใครฝ่าฝืนต้องโดนดำเนินคดีเสมือนหนึ่งเป็นผู้สนับสนุนให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ตามที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯในพื้นที่นี้ พูดง่ายๆ ก็คือ “เอี่ยวป่วนใต้” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาร้ายแรง
แต่ที่ผ่านมาดูจะยังไม่มีการแจ้งดำเนินคดีในข้อหานี้แต่อย่างใด
หนำซ้ำ กอ.รมน.ซึ่งเป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบตรวจสอบการเคลื่อนย้าย และครอบครองพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟ ที่เกินจำนวนตามที่กฎหมายกำหนด คือคนละ 10 ดอก กลับออกมาอ้างว่า ไม่มีอำนาจตรวจสอบโกดังเก็บวัตถุอันตรายเหล่านี้ เพราะหน่วยงานของตนมีอำนาจแค่ตรวจสอบใบอนุญาตการเคลื่อนย้าย ใบสั่งซื้อและออร์เดอร์ที่จะนำไปขายต่อว่าตรงกันหรือไม่เท่านั้น ซึ่งใบอนุญาตของผู้ค้ารายนี้ (สองสามีภรรยา) ขออนุญาตเอาไว้ถึงวันที่ 31 ม.ค.2566 หลังจากนั้นไม่ได้ขออนุญาตต่อ
เป็นไปได้หรือไม่ที่สุดท้ายอาจเอาผิดสองสามีภรรยาไม่ได้ เพราะอาจอ้างว่า เคลื่อนย้ายพลุ ประทัด และดอกไม้ไฟ มาตั้งแต่เดือน ม.ค.2566 แล้ว จากนั้นก็นำมาเก็บไว้ในโกดัง เพื่อรอส่งขายต่อไปยังฝั่งมาเลเซีย ช่วงวันชาติมาเลย์ 31 สิงหาคม โดยการตรวจสอบโกดัง ไม่ใช่อำนาจของ กอ.รมน. และไม่ได้อยู่ในคำสั่ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จึงไม่ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
ส่วนโกดังมาตั้งอยู่กลางชุมชนได้อย่างไร ก็เป็นความรับผิดขอบนายทะเบียนท้องถิ่นไป ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นองค์กรปกครองท้องถิ่น หรือนายอำเภอกันแน่
-ข้อกล่าวหาเรื่องส่วย ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเป็นความผิดของหน่วยงานใด ทั้งๆ ที่มีหน่วยงานเกี่ยวข้องถึง 5 หน่วยงาน สุดท้ายอาจจบแค่สั่งการย้ายตำรวจ ซึ่งอ้างว่าย้ายเพื่อเปิดทางสอบ แต่ยังไม่ได้ข้อเท็จจริง ขณะที่หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องอีก 5 หน่วยงานยังไม่ถูกพูดถึง
-สาเหตุที่ระเบิดจริงๆ ก็ยังไม่ชัด มีแต่การปล่อยข่าวในโกดังอาจไม่ได้มีแค่พลุ ประทัด กับดอกไม้ไฟ แต่อาจมีวัตถุอื่นที่อันตรายยิ่งกว่า
-ผู้รับผิดชอบก็ยังหาไม่ได้ เพราะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ออกมาชี้แจงแบบพิลึกว่า มีอำนาจแค่อนุญาตเคลื่อนย้ายพลุ ดอกไม้ไฟ, ตรวจสอบใบขน ใบสั่งซื้อ แต่ไม่มีอำนาจตรวจสอบโกดังเก็บวัตถุอันตราย อ้างว่าเป็นหน้าที่ “นายทะเบียนท้องถิ่น” แต่ไม่ยอมบอกว่าใคร หน่วยไหน
สุดท้ายจึงยังจับมือใครดมไม่ได้ เมื่อเวลาผ่านไป ก็อาจลืมๆ กันไป และอาจไม่มีใครผิดเลยก็เป็นได้
พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองจเรตำรวจ เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม หรือ สป.ยธ. ให้ข้อคิดในเรื่องนี้ว่า การทำผิดกฎหมายใดที่ประชาชนรู้กันทั่วไป ล้วนต้อง "จ่ายส่วย" ให้ตำรวจทั้งสิ้น
"ห้าเสือโรงพัก” แท้จริงคือ "ห้าแพะ" และตำรวจผู้น้อยเป็นแค่ "หมาล่าเนื้อ" ให้ตำรวจชั้นผู้ใหญ่
"พลุ ประทัด" ใครให้นำเข้ากันมามากมาย สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนทำไม? ปัญหาของตำรวจไทยเกิดจากการมีนายพลมากกว่า 500 นายหรือไม่ เกิดคำถามว่า ยิ่งมีนายพลมาก ยิ่งทุจริตมากตามไปด้วยหรือเปล่า...เป็นเรื่องที่น่าคิดอย่างยิ่ง
เป็นที่น่าสังเกตว่า จังหวัดนราธิวาส โดยเฉพาะอำเภอสุไหงโก-ลก มีประเด็นเกี่ยวกับส่วย และธุรกิจผิดกฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง เหมือนเป็น “แดนสนธยา” ตกอยู่ในม่านหมอก “สีเทา”
แต่เหมือนม่านหมอกนี้จะหน้าทึบจนไม่มีใครปัดเป่าให้เห็นแสงสว่างได้เสียที...แม้จะมีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้นมากมาย แต่ก็แทบไม่เห็นความคืบหน้าในการจัดการปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
เช่น เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ผบ.ตร.ก็มีคำสั่งย้าย พล.ต.ต.แวสาแม สาและ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยให้ขาดจากตำแหน่งเดิม หลังถูกกล่าวหาออกใบรับรองเอื้อประโยชน์ให้ผู้ต้องหาคดีค้ายาเสพติดและอาวุธสงครามในพื้นที่ (คนร้องคือ คุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เรียกใบรับรองนี้ว่า “บัตรเบ่ง”)
จนถึงปัจจุบันยังไม่ปรากฏผลสอบสวนต่อสาธารณะ แต่นายตำรวจผู้นี้ก็ถูกย้ายไปตำแหน่งอื่นในระนาบเดียวกัน คือ ผู้บังคับการ ก่อนหน้านี้อยู่กองบังคับการกฎหมายและการสอบสวน ปัจจุบันน่าจะย้ายไปภาคอื่น
ต่อมา 22 พฤศจิกายน 2555 เกิดระเบิดคาร์บอมบ์ที่แฟลตตำรวจนราธิวาส เป็นระเบิดครั้งรุนแรง เหยียบจมูกผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ มีการวิจารณ์เชื่อมโยงถึงความเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาในพื้นที่ คนร้ายขับรถกระบะมาจอดกันง่ายๆ รถกระบะคันนั้นก็มีประวัติและเส้นทางน่าสนใจ เกี่ยวข้องกับอะไรๆ ที่ผิดกฎหมายอยู่พอสมควร
แต่ภายหลังเรื่องก็เงียบหายไปเช่นเดิม นักข่าวที่พยายามตามเรื่องก็ถูกข่มขู่ บอกให้หยุดขุดคุ้ย
ย้อนกลับไปเมื่อ 16 ปีที่แล้ว คือปี 2550 นายมะยากี ยะโก๊ะ เครือข่ายค้ายาเสพติดรายใหญ่ของภาคใต้ เคยถูกค้นบ้านที่นราธิวาส พบเงินสดๆ 30 ล้านบาทซุกอยู่ในท่อพีวีซี จนเป็นข่าวโด่งดังไปทั้งประเทศ ภายหลังนายมะยากีถูกจับโดยตำรวจปราบปรามยาเสพติดมาเลเซีย ก่อนส่งตัวให้ทางการไทย
แต่ปัญหายาเสพติดก็ไม่เคยแผ่ว เพราะในยุคต่อมาก็ยังมี นายอุสมาน สะแลแม็ง ผู้ที่เคยถูก คสช.เรียกเข้ารายงานตัวหลังเข้าควบคุมอำนาจการปกครองใหม่ๆ เมื่อปี 2557 แต่นายอุสมานก็ไม่ได้ปรากฏตัว
และแม้จะผ่านยุค คสช. แต่เครือข่ายค้ายาในนราธิวาสก็ยังทำงานและทำเงินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ท่ามกลางกระแสข่าวซุบซิบนินทาเรื่องดูแลข้าราชการใหญ่ผู้มีอำนาจในพื้นที่ ทุกสี ทั้งสีเขียว สีกากี และฝ่ายปกครอง
นายอำเภอคนหนึ่งของพื้นที่นี่ก็เคยมีชื่อถูกสอบ กรณีเซ็นใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนให้กับผู้ต้องสงสัยเป็นเครือข่ายค้ายารายใหญ่ของพื้นที่ หัวโจกเครือข่ายนี้ยอมรับนับถือ เรียกเป็น “พี่ชาย”
ส่วนฝั่งสีกากีก็มีข้อกล่าวหาทะลักล้น ก่อนจบลงด้วยกรณีออก “บัตรเบ่ง” อนุญาตให้ทำผิดกฎหมายได้
ใครพลาดก็ย้ายออกไป ขบวนการผิดกฎหมายก็เดินหน้าต่อ
วัฏจักรแบบนี้คาดเดาได้เลยว่า เมื่อฝุ่นควันที่ตลบจากแรงระเบิดโกดังเก็บวัตถุอันตรายกลางตลาดมูโนะจางหาย ทุกอย่างก็จะกลับไปเหมือนเดิม...