“นิพนธ์” เตือนต้องระวังเรื่องการลงประชามติแบ่งแยกดินแดน จะยิ่งสร้างเงื่อนไขการแก้ปัญหาชายแดนใต้ให้ยากลำบากยิ่งขึ้น
วันที่ 10 มิ.ย.66 นายนิพนธ์ บุญญามณี รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จัดงานเปิดตัว "ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ (Pelajar Bangsa)" ณ ห้องประชุมศรีวังสา ของคณะรัฐศาสตร์ โดยในงานมีการกล่าวปาฐกถา หัวข้อ "การกำหนดอนาคตตัวเอง (Self Determination) กับสันติภาพปาตานี" และแถลงการณ์ของประธานขบวนนักศึกษาแห่งชาติ เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้น
นายนิพนธ์ กล่าวว่า การสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้นั้น เป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนปรารถนาให้เกิดขึ้นจริง ไม่ว่ารัฐบาลไหนๆที่เข้ามาบริหารประเทศก็ให้ความสำคัญกับการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่อย่างเต็มที่ มีคณะกรรมการต่างๆ ทั้งหน่วยราชการ NGO ภาคเอกชน ต่างลงไปทำศึกษา ช่วยเหลือ ครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เพื่อนำไปสู่การลดความรุนแรง จนเกิดความสงบสุข อีกทั้งยังกำหนดให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญในเรื่องความมั่นคงทางด้านอาหาร เป็นแหล่งผลิตสินค้าฮาลาลเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดโลกมุสลิม ซึ่งที่ผ่านมามีการทุ่มงบประมาณเพื่อเข้าไปจัดการในพื้นที่หลายแสนล้านบาทตลอดระยะเวลา 20 ปี แต่ก็ยังไม่สามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรม
“โดยข้อเสนอที่พยายามขับเคลื่อนมาโดยตลอดเพื่อการแก้ไขปัญหาฯ นั้น ต้องน้อมนำแนวทางพระราชทาน ‘เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา’ เพื่อสร้างความร่วมมือและรับรู้ร่วมกันทำให้ปัญหาที่หลายฝ่ายเรียกร้องได้ถูกแก้ไขได้อย่างยั่งยืน รวมถึงการเดินตามยุทธศาสตร์ ‘สันติภาพสู่สันติสุข’ คือ การทำให้เกิดสันติภาพ ยุติความขัดแย้ง เพื่อนำไปสู่สันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งต้องสนับสนุนให้มีการพูดคุยกับกลุ่มต่างๆที่มีความเห็นที่ต่างกันอยู่ในพื้นที่ ทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายสร้างการมีส่วนร่วมในทุกมิติที่มีผลกระทบต่อคนในพื้นที่ ซึ่งถ้าหากไม่สามารถแก้เรื่องความเห็นต่างหรือแก้เรื่องความขัดแย้งไม่ได้ก็ยากที่จะนำสันติสุขมาสู่ชายแดนใต้ ซึ่งตนสนับสนุนการพูดคุยกับทุกกลุ่มและเคยเดินทางไปพบปะพูดคุยกับระดับผู้นำของบางกลุ่มมาแล้ว”
นายนิพนธ์ กล่าวอีกว่า ตามที่เป็นข่าวในเรื่องของกลุ่มขบวนนักศึกษาแห่งชาติ ที่ได้เปิดหัวข้อพูดคุย เรื่องการกำหนดอนาคตตัวเอง (Self Determination) กับสันติภาพปาตานี นั้น ถือเป็นประเด็นที่อ่อนไหว ละเอียดอ่อนและส่อขัดต่อรัฐธรรมนูญ และการเคลื่อนไหวเพื่อลงประชามติแบ่งแยกดินแดนดังกล่าวเป็นมุมมองที่ยึดรูปแบบของโครงสร้างเพียงอย่างเดียว คือ ต้องเป็นรูปแบบปกครองตนเองเป็นรัฐอิสระเท่านั้น จึงจะแก้ปัญหาได้ ในส่วนนี้เห็นว่าไม่ถูกต้อง เพราะขาดความเชื่อมโยงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกันจากประชาชนกลุ่มต่างๆในพื้นที่ ซึ่งมีความแตกต่างด้วยความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม
“เมื่อปรากฏเป็นข่าวในบรรดาผู้ร่วมเวทีก็ต่างออกมาปฏิเสธและเกิดการต่อต้านจากคนในพื้นที่ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการขาดความพร้อมเพื่อสื่อสารเรื่องดังกล่าวให้เกิดการรับรู้กับคนในพื้นที่และสาธารณะ โดยหลังจากนี้อาจจะนำไปสู่ความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นของกลุ่มสนับสนุนที่ต้องการแสดงออกว่า มีเพียงการแบ่งแยกเท่านั้นจึงจะยุติปัญหาได้ขณะเดียวกันการใช้ชีวิตของผู้คนในพื้นที่จะเกิดความหวาดระแวงกันมากขึ้น ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจกันของประชาชนกลุ่มต่างๆ จนอาจทำให้แก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ที่มียาวนานนั้น ยิ่งแก้ไขได้ยากลำบากมากยิ่งขึ้นไปอีก”