เปิดแผนประทุษกรรมโจมตีฐาน นปพ.สุไหงปาดี คนร้ายกว่า 10 คน แบ่งกำลัง 2 ชุด ระดมยิงสลับขว้างไปป์บอมบ์ถล่ม ยิงปะทะกันนานครึ่งชั่วโมง ก่อนหลบหนีคนร้ายยังวางระเบิดถังแก๊สหนัก 30 กิโลฯ ซุกป่ารกตรงข้ามฐานหวังสังหารกำลังสนับสนุนและชุดไล่ล่า ระเบิดทำงานสมบูรณ์ แต่โชคดีไม่โดนใคร
เมื่อเวลา 10.00 น. วันศุกร์ที่ 14 เม.ย.66 พล.ต.ต.อนุรุธ อิ่มอาบ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส (ผบก.ภ.จว.นราธิวาส) พล.ต.เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส (ผบ.ฉก.นราธิวาส) พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เดินทางไปยังฐานปฏิบัติการหมวดเฉพาะกิจ หน่วยปฏิบัติการพิเศษนราธิวาสที่ 32 (มว.ฉก.นปพ.น.ธ.32) ซึ่งตั้งอยู่ หมู่ 1 ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส เพื่อตรวจจุดเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามและระเบิดไปป์บอมบ์ ยิงและขว้างถล่มใส่ฐาน เหตุเกิดเมื่อเวลา 20.55 น.ของคืนวันพฤหัสบดีที่ 13 เม.ย.66 ที่ผ่านมา
เหตุการณ์ดังกล่าว มีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ประกอบด้วย
1.ส.ต.ต.พีรวิชญ์ ดวงแก้ว อายุ 26 ปี ถูกกระสุนปืนที่บริเวณต้นขาขวาทะลุ 1 นัด
2.ส.ต.ต.ชวัลวิทย์ อินต๊ะวิชา อายุ 23 ปี ถูกกระสุนปืนที่บริเวณก้นด้านขวา 1 นัด
3.ส.ต.ต.กิติพงษ์ พรหมเจียม อายุ 26 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดที่ขอบตาด้านขวา และมีอาการแน่นหน้าอก
เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 3 นาย เป็น ผบ.หมู่.นปพ.สุไหงปาดี ถูกส่งตัวรักษาที่โรงพยาบาลสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส
สำหรับผลการตรวจจุดเกิดเหตุอย่างละเอียด พบระเบิดแสวงเครื่องชนิดขว้างแบบ “ไปป์บอมบ์” ที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในท่อแป๊บเหล็กทรงกลม ตกอยู่บริเวณถนนด้านซ้ายมือของฐาน จำนวน 3 ลูก แต่ระเบิดไม่ทำงาน 2 ลูก และพบระเบิดไปป์บอมบ์ที่คนร้ายขว้างใส่เข้าไปในฐาน จำนวน 5 ลูก ไม่ทำงาน 2 ลูก
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังตรวจสอบพบระเบิดไปป์บอมบ์ที่บริเวณป่ารกทึบตรงข้ามกับประตูทางเข้าอีก จำนวน 1 ลูก แต่ไม่ทำงานเช่นกัน จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งผู้ไม่เกี่ยวข้องออกห่าง ก่อนที่เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด หรือ อีโอดี ได้ใช้เครื่องแรงดันน้ำพลังสูงยิงทำลายไปป์บอมบ์ที่ด้านหรือไม่ทำงานทีละลูก จำนวนทั้งหมด 5 ลูก ใช้เวลานานกว่า 30 นาทีจึงแล้วเสร็จ
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบหลุมระเบิดขนาดใหญ่ บริเวณส้วมร้างของชาวบ้านที่ปลูกสร้างด้วยสังกะสี ภายในป่ารกทึบตรงกันข้ามกับประตูทางเข้าฐาน ซึ่งมีเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในถังดับเพลิง น้ำหนัก 30 กิโลกรัม กระจายเกลื่อน แต่ไม่พบตัวจุดชนวน เนื่องจากระเบิดลูกดังกล่าวทำงานสมบูรณ์ ชิ้นส่วนต่างๆ ได้กระเด็นเข้าไปอยู่ในป่ารกทึบ ด้านหลังเป็นป่ายางพาราของชาวบ้าน
หลังเจ้าหน้าที่เคลียร์พื้นที่แล้วเสร็จ ได้เก็บรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ พบลูกปราย, ซากชิ้นส่วนท่อแป๊บเหล็กทรงกลม, ปลอกกระสุนปืนของคนร้ายที่ตกอยู่ 2 จุดใหญ่ คือ ป่ารกทึบตรงข้ามกับฐาน และบ้านร้างของชาวบ้านที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับอาคารน็อคดาวน์ห้องที่ 1 ด้านซ้ายมือของฐาน
เหตุการณ์ดังกล่าวยังส่งผลให้รถยนต์ของชาวบ้านที่จอดอยู่ในบ้านและข้างป่ารกทึบ จำนวน 2 คัน ถูกกระสุนปืนได้รับความเสียหาย
จากการสอบสวนทราบว่า ขณะที่ ส.ต.ต.พีรวิชญ์ ดวงแก้ว ขี่รถจักรยานยนต์กลับเข้าฐาน โดยมี ส.ต.ต.ชวัลวิทย์ นั่งซ้อนท้าย ได้มีกลุ่มคนร้ายจำนวนกว่า 10 คน แบ่งออกเป็น 2 ชุด ชุดที่ 1 วางกำลังอยู่บริเวณป่ารกทึบตรงข้ามกับประตูทางเข้าฐาน ใช้อาวุธปืนสงครามเอ็ม 16 ยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นาย จนรถจักรยานยนต์ล้มคว่ำหน้าประตูทางเข้าฐานได้รับบาดเจ็บ ตำรวจทั้ง 2 นายจึงได้หมอบคลานหาที่กำบังเพื่อหลบวิถีกระสุนของคนร้ายที่ระดมยิงซ้ำ
จากนั้นคนร้ายชุดที่ 2 ซึ่งซุ่มอยู่ที่ในบ้านร้างของชาวบ้าน ตรงกันข้ามกับอาคารน็อคดาวน์ภายในฐาน ได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่ฐาน สลับกับการขว้างระเบิดไปป์บอมบ์ จนทั้ง 2 ฝ่ายเปิดฉากยิงปะทะกันเป็นระลอกนานกว่า 30 นาที ส่งผลทำให้ ส.ต.ต.กิติพงษ์ พรหมเจียม ถูกสะเก็ดระเบิดของคนร้ายที่ขอบตาด้านขวา ได้รับบาดเจ็บ
ต่อมากลุ่มคนร้ายทราบว่าเจ้าหน้าที่ได้ขอกำลังเข้าสนับสนุน จึงได้อาศัยความมืดและความชำนาญพื้นที่หลบหนีไป โดยมุ่งหน้าไปทางสวนยางพาราของชาวบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามฐาน เมื่อเสียงปืนสงบลงเจ้าหน้าที่ นปพ.ที่อยู่ภายในฐานได้ช่วยกันนำตัวผู้ได้รับบาดเจ็บทั้ง 3 นายส่งรักษาที่โรงพยาบาลสุไหงปาดี เมื่อแพทย์ทำการปฐมพยาบาลในเบื้องต้น ได้ส่งตัวรักษาต่อที่โรงพยาบาลสุไหงโก-ลก
หลังเกิดเหตุการณ์พักใหญ่ พ.ต.อ.อัสรี ต่วนเพ็ง ผู้กำกับการ สภ.สุไหงปาดี และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่ง ได้นั่งรถยนต์หุ้มเกราะรีว่าเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ ขณะที่รถหุ้มเกราะจอดใกล้กับฐาน ได้เกิดระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวอีก 1 ลูก โชคดีไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
ตรวจสอบทราบว่า ระเบิดลูกดังกล่าวประกอบใส่ไว้ในถังดับเพลิง จุดชนวนด้วยการตั้งเวลา คนร้ายได้ฝังไว้บริเวณป่ารกทึบซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับประตูทางเข้าฐาน โดยคนร้ายมีเป้าหมายดักสังหารเจ้าหน้าที่ หากเจ้าหน้าที่นำกำลังติดตามไล่ล่า แต่ด้วยความไม่ประมาทและทัศนวิสัยไม่เอื้ออำนวย เจ้าหน้าที่จึงไม่ได้ไล่ล่าหรือติดตามคนร้าย จึงรอดจากอันตรายมาได้อย่างหวุดหวิด
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ได้มีการกระจายกำลังนัดแนะในการก่อเหตุร้ายในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในช่วง 10 วันสุดท้ายของเดือนรอมฎอน เพื่อแสดงศักยภาพของกลุ่มตน