มีความเคลื่อนไหวการเมืองที่น่าสนใจ เมื่อ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย ลงพื้นที่ จ.นราธิวาส เพื่อมอบถุงยังชีพช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม
แต่ประเด็นที่สร้างกระแสฮือฮา ก็คือการควงแขน “บ้านใหญ่” อย่าง กูเซ็ง ยาวอหะซัน นายก อบจ.นราธิวาส และลูกชาย “วัชระ ยาวอหะซัน” ส.ส.นราธิวาส พรรคพลังประชารัฐ โดยมีนักการเมืองทั้งระดับชาติและท้องถิ่นตบเท้าร่วมขบวนการกันพรึ่บ
พรรคสร้างอนาคตไทย ลงพื้นที่นราธิวาสหนนี้ ต้องบอกว่าขาดเพียง นายอุตตม สาวนายน ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอีกคนหนึ่งเท่านั้น เพราะที่เหลือไปปรากฏตัวกันพร้อมหน้า ทั้งนายสนธิรัตน์, นายวัชระ กรรณิการ์ กรรมการประสานงานพรรค และ นายอิธวัฒน์ พิทักษ์คุมพล ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค
เป้าหมายเพื่อมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ในพื้นที่ 3 ตำบลของอำเภอเมืองนราฯ ได้แก่ ตำบลมะนังตายอ ตำบลลำภู และตำบลบางปอ
@@ สวมกอด “บ้านใหญ่กูเซ็ง”
แต่การแจกถุงยังชีพไม่ค่อยถูกจับตาสักเท่าไหร่ เพราะความเคลื่อนไหวที่จับจ้องกันมาก คือการพบปะกับ “บ้านใหญ่” อย่าง กูเซ็ง ยาวอหะซัน และ นายวัชระ ยาวอหะซัน
งานนี้ สนธิรัตน์ ถึงขั้นโผเข้ากอด นายกฯกูเซ็ง และพูดคุยกันอย่างสนิทสนมทั้งกับบ้านใหญ่ และวัชระ เพราะ สนธิรัตน์ คือคนกันเองที่เคยเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เคยสู้ศึกเลือกตั้งเมื่อปี 62 มาด้วยกันกับ วัชระ ยาวอหะซัน
“ผมได้รับเกียรติจากท่านกูเซ็ง ยาวอหะซัน นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนราธิวาส และท่านวัชระ ยาวอหะซัน ส.ส.นราธิวาส เขต 1 ในฐานะเจ้าบ้าน ให้การต้อนรับและนำลงพื้นที่ช่วยเหลือชุมชน”
@@ อ้างไม่มีนัยการเมือง แต่ประกบคู่จับเข่าคุย
สุ้มเสียงของสนธิรัตน์ ให้เกียรติ “บ้านใหญ่นราธิวาส” อย่างเต็มที่ แม้สุดท้ายจะออกตัวว่าไม่มีนัยทางการเมืองก็ตาม
“การพบกันครั้งนี้ ไม่ได้มีมิติหรือนัยทางการเมืองใดๆ เป็นเพียงความร่วมมือในฐานะคนที่รักใคร่นับถือกันและเคยทำงานร่วมกันมาก่อนอย่างยาวนานเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องการเมืองนั้นขอให้เป็นเรื่องของอนาคต”
“การลงพื้นที่ก็เป็นธรรมดาที่ต้องพบปะกลุ่มการเมืองเพื่อรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อมูลของพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงที่เป็นความหวังเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องประชาชน ซึ่งพรรคเองก็อยู่ระหว่างการจัดทำนโยบายพรรค ดังนั้นการรับฟังข้อมูลในพื้นที่จึงนับเป็นสิ่งสำคัญ”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างร่วมรับประทานอาหารที่ร้านเจ๊ะการ์ ร้านดังแห่งเมืองนราฯ ที่มีการร่วมโต๊ะเฉพาะแกนนำสำคัญนั้น ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนถ่ายภาพ ขณะที่การเดินทางไปพื้นที่แจกของ นายสนธิรัตน์ นั่งรถคันเดียวกับ นายกูเซ็ง ตลอดเวลา ส่วนนายวัชระ กรรณิการ์ นั่งรถคันเดียวกับ วัชระ ยาวอหะซัน เรียกว่าแยกประกบคู่กันอย่างชัดเจน
@@ ดับไฟใต้...แก้มิติความมั่นคงด้านเดียวไม่พอ
เมื่อถามถึงนโยบายของพรรคสร้างอนาคตไทยในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้
นายสนธิรัตน์ บอกว่า พื้นที่นี้มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ เป็นพื้นที่ทางการค้าชายแดนที่สำคัญ ซึ่งหากมีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจให้มีความเข้มแข็ง นอกจากจะนำมาซึ่งความอยู่ดีกินดีของพี่น้องประชาชนแล้ว ยังจะสามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาในพื้นที่ได้อีกด้วย เพราะการแก้ปัญหาในมิติความมั่นคงเพียงอย่างเดียวถือว่ายังไม่เพียงพอ
“พรรคสร้างอนาคตไทยมีความชัดเจนที่อาสาเข้ามาแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจของประเทศ และมีทีมเศรษฐกิจที่มีความสามารถและมีประสบการณ์ที่จะเข้ามาทำงานตรงนี้ ส่วนการวางตัวผู้สมัครในพื้นที่นั้น พรรคจะสรรหาคนที่มีความสามารถ เป็นที่ยอมรับ และเป็นหลักพึ่งพิงของคนในพื้นที่ได้ ซึ่งพรรคจะมีการเปิดตัวในโอกาสต่อไป”
@@ ฝ่ายค้านชี้รัฐบาลอยู่ยาวชาวบ้านยิ่งแย่
อีกด้านหนึ่ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ ได้นำ ส.ส.พรรคลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะที่ จ.นราธิวาส เช่นกัน
พ.ต.อ.ทวี กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีแนวโน้มอยู่ยาว หลังจาก “พี่น้อง 3 ป.” เคลียร์ใจ รับประทานอาหารร่วมกัน โดยบอกว่า ถ้ารัฐบาลอยู่ยาว ความมั่นคงมั่งคั่งจะอยู่กับนายกฯและพวกพ้อง ส่วนประชาชนมีแต่ความยากจน เหลื่อมล้ำ และคุณภาพชีวิตแย่ลง การศึกษาก็ด้อยลง ฉะนั้นสิ่งที่ฝ่ายค้านและประชาชนต้องการ คือไม่อยากให้นายกฯอยู่ในตำแหน่งต่อไป และโดยหลักการแล้ว เมื่อการจัดทำกฎหมายลูกเพื่อแก้ไขกติกาการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ตามมารยาทจะต้องยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ตามกติกาใหม่ เหมือนกับที่เคยวางบรรทัดฐานไว้ในรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปี 2554
เลขาธิการพรรคประชาชาติ บอกด้วยว่า หลังจากลงพื้นที่เยี่ยมพี่น้องประชาชน ทำให้เห็นความจริงว่า การกระจายอำนาจและงบประมาณให้ท้องถิ่นจัดการตัวเอง มีความสำคัญมากในการดูแลทุกข์สุขของราษฎร จึงขอเรียกร้องให้เร่งการกระจายอำนาจ กระจายงบประมาณลงไปในพื้นที่ เพราะที่ผ่านมาเป็นเพียงการมอบอำนาจให้รัฐบาลกลางเข้ามายึดครองในส่วนภูมิภาค และมายึดครองในส่วนท้องถิ่นอีกทีหนึ่ง
โดยเฉพาะในยุคของ คสช.เป็นยุคที่มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุด ทำให้อำนาจอยู่ในมือคนกลุ่มเดียว ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่พ้นการคอร์รัปชั่น และถือเป็นการไม่เคารพสติปัญญาและศักยภาพของประชาชน